23 ส.ค. เวลา 13:55 • ท่องเที่ยว
นิวซีแลนด์

เปิดแพลนเที่ยวนิวซีแลนด์ Road Trip เกาะเหนือ-เกาะใต้

พร้อมทริคต่างๆ ที่ควรรู้
EP1 ปฐมบท: ขับรถนอกประเทศครั้งแรก
ทริปนี้ The Blanket List เดินทางไปนิวซีแลนด์ด้วยสายการบิน Cathay Pacific ต่อเครื่องที่ฮ่องกง มาลง Auckland, New Zealand (ขาฮ่องกง-นิวซีแลนด์ Operated by Air New Zealand) อาจจะดูเหมือนอ้อมนะ แต่ดู Total Time แล้วไม่ต่างจากมาเปลี่ยนเครื่องที่สิงคโปร์หรือออสเตรเลียเท่าไหร่ เราเลยเลือกสายการบินนี้เพราะเวลาโอเคสำหรับเราที่สุด
ตอนผ่านตม. สำหรับใครที่ขอวีซ่าแบบ Group Visitor สามารถเข้าตม.พร้อมกันได้เลย เราเจอคำถามว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ซึ่งพอตอบเสร็จ ตม.ก็ปั๊มตราดังปั้งงงง!!......เสียงแห่งความโล่งใจได้เกิดขึ้นแล้ว 😊
แต่ๆๆๆ อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะประเทศนี้ค่อนข้างซีเรียสกับการนำของต่างๆ เข้าประเทศ ใครที่แพลนจะไปเทรคแล้วเอารองเท้าที่เคยเทรคจากประเทศอื่นมา ต้อง Declare ด้วยนะ เจ้าหน้าที่จะดูว่าทำความสะอาดหรือยัง ถ้ายังมีเศษดินจากที่อื่นติดอยู่ก็อาจจะโดนริบรองเท้าหรือโดนค่าปรับได้
ดีที่ว่าเราเอารองเท้าใหม่เอี่ยมไป แล้วก็ไม่ได้มีอะไรต้อง Declare เลยเข้าช่อง Nothing to Declare ซึ่งจุดนี้ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เจ้าหน้าที่จะติดสติ๊กเกอร์สีเหลืองไว้หลังพาสปอร์ตเราเพื่อให้ไปอีกจุดหนึ่ง ซึ่งจะมีน้องหมาเดินดมกลิ่น ถ้าน้องไม่เจออะไรผิดสังเกตุก็ผ่านฉลุยจ้า เย้
Note 1: ควรเผื่อเวลาหลังเครื่องลงประมาณ 3 ชั่วโมง เพราะอาจจะเสียเวลากับตม. หรือ Declaration พอสมควร อย่างเราเจอตม.เปิดช่องแค่ 2 ช่อง ในขณะที่นทท.มีแปดแสนล้านคน กว่าจะถึงคิวก็ผ่านไปเกือบชม.นึงได้ ถ้าใครมีของต้อง Declare อีกก็อาจจะกระทบแพลนเที่ยวในวันนั้น ให้เผื่อเวลาดีๆ
Note 2: สิ่งของที่ต้อง Declare เช็คตามเว็บนี้ได้เลย https://www.travellerdeclaration.govt.nz/
เสร็จทุกอย่างเรียบร้อยเราก็มารับรถที่จองไว้ เราจองรถของ A Rentals ผ่าน Trip.com ทางศูนย์จะส่งรถมารับแล้วพาไปที่ศูนย์ของเขาเพื่อรับรถอีกที สิ่งที่ต้องใช้ในการรับรถ คือ Passport ใบขับขี่สากล และ บัตรเครดิตเพื่อประกันความเสียหาย
Note 3: แนะนำว่าควรพกใบขับขี่ตัวจริงไปด้วยเสมอ เพราะแต่ละเจ้าอาจจะมีนโยบายไม่เหมือนกัน หรือเผื่อโดนตำรวจขอเรียกดู จะได้มีไว้อุ่นใจ555
ความแพนิคเกิดขึ้นทันทีเมื่อรับรถมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ปรับตัวพอสมควรเลยเพราะรถก็เป็นคนละยี่ห้อกับที่ขับในไทย เช่น เบรคมือ จากที่เราเคยชินว่าอยู่ด้านซ้ายมือ ก็ไปอยู่ที่เท้า ตอนแรกก็ถึงว่าทำไมเข้าเกียร์ D เหยียบคันเร่งแล้วรถมันไม่ไปไหน55555
เราพลาดเองที่ไม่ได้คิดไปก่อนว่าต้องรู้อะไรบ้าง มัวแต่ตื่นเต้นกับรถเลยถามคำถามที่ควรจะรู้ไม่ครบ แต่จริงๆ ก็สามารถโทรไปถามศูนย์ได้นะ เพียงแต่ตอนนั้นเราพยายามหาคำตอบเองก่อน
ปล. ตอนกดจองเราเลือกรถอีกรุ่นนึงที่คันเล็กกว่านี้เพราะมากันแค่สองคน แต่พอไปถึงศูนย์พนักงานบอกว่ารถรุ่นนั้นหมดแล้วหรืออะไรสักอย่างเนี่ยแหละ เลยอัปเกรดเป็นคันที่ใหญ่กว่าให้
สิ่งที่ช่วยให้การปรับตัวกับการขับรถที่นี่ดีขึ้นอย่างมาก คือ คนที่นี่เขาเคารพกฎจราจร ถนนก็ทำดี ป้ายชัดทุกป้าย ทำให้ไม่งง และไม่ค่อยมีมอเตอร์ไซค์ให้ต้องพะวง ในเมืองคนส่วนใหญ่ก็จะขับไม่เกินความเร็วที่กำหนด แต่ถ้านอกเมืองก็เจอคนลักไก่ขับเร็วเกินบ้าง
นทท.อย่างเราขับตามที่ป้ายกำหนดเถอะ ถ้าโดน Pull Over แล้วไม่คุ้มแน่นอน เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน
Note 4: ถนนส่วนใหญ่ในเมืองและชานเมืองมีการจำกัดความเร็วที่ 50 กม/ชม. และถนนสายอื่นๆ จำกัดไว้ที่ 100 กม/ชม. ส่วน Motorway จำกัดความเร็วที่ 110 กม/ชม. (Motorway บ้านเขาฟรีนะ อันที่เสียตังค์จะเรียกว่า Toll Road ซึ่งมีอยู่แค่ไม่กี่เส้นเอง และเราไม่ได้ขึ้นเลยในทริปนี้)
Note 5: ต้องศึกษาลักษณะเส้นทางของสถานที่ที่เราจะไปให้ดีก่อน บางที่ไม่เหมาะกับคนขับมือใหม่ หรือคนที่แพนิคง่าย เพราะอาจจะเจอทางที่ชันมาก และโค้งหักศอกเยอะ บางจุดก็ไม่มีป้ายเตือนก่อน ถ้าไม่มั่นใจอย่าหาทำ ให้คนที่ขับรถชำนาญ จิตแข็งๆ มาขับดีกว่า
สำหรับการจอดรถที่นิวซีแลนด์ การจ่ายเงินส่วนใหญ่จะมีสองแบบ แบบแรกคือ "จ่ายตอนจอด" ส่วนใหญ่ Street Parking มักจะใช้วิธีจ่ายแบบนี้ คือเมื่อเราจอดรถเสร็จแล้ว ก็เดินไปที่ตู้ กดเลขทะเบียน กดจำนวนเวลาที่เราคาดว่าจะจอด หรือบางตู้ให้กดเวลาที่คาดว่าจะออก แล้วก็จ่ายเงิน
เข้าใจว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาคอยเดินตรวจถ้าหากใครจอดเกินเวลาก็อาจโดนปรับ แต่ตอนแรกๆ เราไม่รู้ว่ามันให้จ่ายก่อน เพิ่งมาเห็นที่ตู้ว่ามันให้จ่ายก่อนตอนที่จะไปละ ก็ไม่โดนปรับอะไรนะ อาจจะเป็นความโชคดีของเราเองก็ได้55555 แต่เข้าใจว่าถ้าเลทนิดๆ หน่อยๆ มักจะไม่มีปัญหาอะไร
Street Parking บางที่จอดฟรี ต้องศึกษาป้ายให้ดีว่าแต่ละป้ายหมายความว่าอะไร จะมีป้ายบอกอยู่ว่าจอดฟรีไหม ฟรีนานเท่าไหร่ หรือวันไหนจอดฟรีบ้าง อย่างในป้ายนี้ หมายถึงรถทางที่ลูกศรในป้ายชี้ไปสามารถจอดฟรี 120 นาที ในวันจันทร์ ถึง เสาร์
ถ้าวางแผนตรงนี้ไปก่อนก็จะช่วยประหยัดค่าที่จอดได้เยอะเลย ส่วนตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ แทบไม่มีที่ไหนคิดค่าที่จอดรถเลย ใครที่ไม่ค่อยเที่ยวในเมืองก็สบายใจเรื่องค่าที่จอดรถไปได้
ขอบคุณภาพจาก crux
แบบที่สองคือ "จ่ายตอนออก" ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่ทำที่จอดรถ เจ้าใหญ่ของที่นี่จะเป็น Wilson เขาจะแทรคป้ายทะเบียนรถเราไว้ตั้งแต่เข้ามาในลานจอดเลย พอเราทำธุระเสร็จก็ต้องมาจ่ายที่ตู้ก่อน พอกดทะเบียนรถมันก็จะคำนวณค่าที่จอดมาให้เลย
ข้อเสียของที่จอดแบบนี้คือเราต้องคำนวณเวลาดีมากๆๆๆ ถ้าเกินไปแค่วินาทีเดียวเราจะต้องจ่ายค่าที่จอดรถเพิ่มอีกชั่วโมงนึง หรือครึ่งชม. ซึ่งค่อนข้างแพงTT ยิ่งจุดไหนใกล้ Tourist Attraction ค่าจอดก็จะสูงกว่าปกติ
นอกเหนือจากนี้ก็อาจเจอแบบที่ใช้เครื่องอัตโนมัติแทรคทั้งเวลาเข้าและเวลาออก จ่ายเงินบนรถโดยการแตะบัตรตรงไม้กั้นทางออกเลย ไม่ต้องเดินไปที่ตู้ ก็สะดวกดี แต่ต้องคำนวณเวลาดีๆ เหมือนกัน
ขอบคุณภาพจาก primeparking
แนะนำโหลดแอพ ParkMate ถ้าจองที่จอดรถผ่านแอพนี้จะได้ราคาดีกว่าไปจ่ายเองที่ตู้ ส่วนใหญ่จะใช้ได้กับที่จอดรถเอกชน สามารถตัดบัตรเครดิต/Travel Card ได้ ให้สังเกตป้ายที่ติดไว้ตรงที่จอด ว่ามีโลโก้แอพหรือระบุราคา Early Bird ไว้เปล่า ถ้ามีก็จัดไปโลดดดด
ขอบคุณภาพจาก ParkMate
สำหรับการเติมน้ำมัน...แน่นอนว่าเติมเองจ้า ซึ่งวิธีจ่ายจะขึ้นอยู่กับแต่ละปั๊ม ขั้นตอนที่เจอบ่อยๆ ก็มีประมาณนี้
1.เติมก่อนจ่าย: เติมน้ำมัน >> แจ้งเลขช่องเติมกับพนักงานที่เคานเตอร์ >> จ่ายเงิน
2.จ่ายก่อนเติม: ไปที่ตู้ กดเลขช่องเติม >> เลือกว่าจะเติมเท่าไหร่ แล้วเครื่องมันจะตัดวงเงินในบัตรเรา >> เติมน้ำมัน (กรณีถ้าเติมน้ำมันน้อยกว่าที่จ่ายไป ให้ลองถามพนักงานแต่ละปั๊มว่าต้องทำยังไง เข้าใจว่าส่วนใหญ่มันจะคืนเงินมาให้ในบัตรทีหลัง)
เริ่มยาวละ เดี๋ยวมาต่อ EP หน้า
ละเดี๋ยวจะสรุปรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดไว้ให้ใน EP สุดท้าย
ฝากติดตามกันด้วยนะคร้าบบบ
Stay Tune!
#TheBlanketList #NewZealand #NZ
โฆษณา