24 ส.ค. เวลา 04:42 • ความคิดเห็น

เขียน why us ไม่ได้เตรียมวายวอด..

วันก่อนผมฟังน้องจิ๊บ เสาวนีย์ ผู้ทำธุรกิจสินเชื่อกระเป๋าแบรนด์เนมอันดับหนึ่งของไทยในนาม jipjip money เล่าว่าทำธุรกิจอะไรยังไง และมีหน้าหนึ่งที่ฟังแล้วมั่นใจเลยจิ๊บจะไปอีกไกลและเป็นเบอร์หนึ่งในวงการนี้แน่
หน้านั้นจิ๊บขึ้นว่า why us?
โดยมีรายละเอียดประมาณว่า ที่ jipjip money รับสินค้าแบรนด์เนมได้หลากหลาย
ดอกเบี้ยต่ำ xx ต่อเดือน
วงเงินให้สูง xxx ต่อสัญญา
ประเมินผลไวภายใน 45 นาที
รับเงินใน 24 ชั่วโมง
เก็บตู้นิรภัยแบบ 1 ต่อ 1
ให้วงเงินเต็มไม่หักดอก
ต่อสัญญาได้ไม่จำกัด
ถูกกฎหมาย
มีรับส่งถึงบ้าน
รักษาความลับลูกค้าสูงสุด ฯลฯ
แต่ละข้อนี่ผมถามผู้ฟังที่สนใจคือโดนทุกข้อ เป็น painpoint ที่ลูกค้าที่มีกระเป๋าแบรนด์เนมแล้วอาจจะร้อนเงินเป็นช่วงๆอยากได้หมด แต่ละข้อมาจาก insight ความต้องการของลูกค้าและเป็นจุดอ่อนของคู่แข่งที่ทำแบบสมัครเล่นทั้งสิ้น
แต่ในการที่จะเขียนแบบนี้และสัญญาแบบนี้กับลูกค้าอย่างเป็นรูปธรรมได้นั้นไม่ง่ายเลย นอกจากผ่านกระบวนการคิดและความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งแล้ว บางข้อต้องใช้เงินลงทุนสูง บางข้อต้องใช้ความเชี่ยวชาญที่ต้องหาต้องฝึกมา บางข้อต้องรักษา service level agreement ให้ได้ บางข้อต้องหาต้นทุนการเงินที่ต่ำให้ได้ถึงจะนำเสนอข้อเสนอแบบนั้นได้ แต่รวมๆ แล้วทำให้ลูกค้าที่สนใจในบริการแบบนี้ พออ่าน jib jib money แล้วแทบจะไม่ไปที่อื่น มาใช้ก็ใช้ซ้ำ บอกต่อ ทำให้ jib jib money เติบโตอย่างรวดเร็วมาก..
ที่ผมจะชวนคิดนั้นไม่ใช่เรื่อง jib jib money แต่เป็นการลองพยายามเขียน Why us ของธุรกิจตัวเองดูแบบไม่เข้าข้างตัวเอง ปกติเวลาเราเล่าเรื่องธุรกิจเรา ไม่ว่าจะเป็นการเชิญชวนลูกค้า หรือเล่าให้นักลงทุนฟัง เรามักจะเล่าว่าธุรกิจนั้นทำอะไร ทำอย่างไรซะส่วนใหญ่ หรือไม่ก็เล่าแบบเข้าข้างที่ลูกค้าหรือนักลงทุนอาจจะไม่ได้สนใจ
เช่นเล่าให้ลูกค้าฟังว่าที่นี่มีพนักงานเป็นร้อยคน อาจจะด้วยความภาคภูมิใจว่าธุรกิจเราใหญ่แต่ลูกค้าไม่ได้สนใจเพราะไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย หรือที่นี่ก่อตั้งมาสามสิบปีแล้ว นักลงทุนฟังแล้วก็ยักไหล่เพราะเขาสนใจแต่ growth ตั้งมากี่ปีก็ไม่ใช่เรี่องซะหน่อย
แต่ทำไมต้องพยายามเขียน “why us” ที่ดีให้ได้ในยุคสมัยนี้
เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ average is over การแข่งขันสูงเหลือเกิน คู่แข่งมีเต็มไปหมด ถ้าเราไม่ยกมือว่าทำไมต้องฉัน แล้วดูเด่นกว่าคนอื่นให้ได้ ลูกค้าจะไม่มีทางเห็น อาจจะแค่มองแต่ไม่เห็น แต่การเขียน why us ก็ไม่ง่าย จะมโนนึกแต่จุดแข็งตัวเองที่ตัวเองภาคภูมิใจโดยไม่เข้าใจลูกค้าก็ไม่มีประโยชน์ แถมลูกค้าแต่ละกลุ่ม แต่ละ segment ก็อาจจะต้องเขียน why us ต่างกันด้วยซ้ำ การเขียน why us กับผู้บริโภค ก็ใช้กับนักลงทุนไม่ได้ why us กับธนาคารที่ต้องการความมั่นคงกับ investor ที่ต้องการการเติบโตก็ต่างกัน
1
การเข้าใจว่า “เขา”อยากฟังอะไร นั้นสำคัญกว่า “เรา”อยากพูดอะไรมาก
2
นอกจากนั้น การเขียน why us ก็จะทำให้เราได้ทบทวนว่าเรามีจุดแข็งจริงๆ รึเปล่า มีอะไรที่โดดเด่นจริงหรือไม่ เพราะถ้าเริ่มลองเขียนแล้วไม่มั่นใจ หรือเขียนได้ข้อเดียวก็จะทำให้เราอาจจะเริ่มตระหนักได้ว่าที่ทำอยู่นั้นอาจจะไม่เพียงพอหรือล้าสมัยไปแล้ว และถ้าโดยเฉพาะคู่แข่งมี why us มากกว่าเราก็น่าจะยิ่งทำให้เราต้องทบทวนและพยายามสร้าง why us ขึ้นมาให้ได้เพิ่มเติม
แน่นอนว่า การสร้าง why us ให้ได้เพิ่มเติม ก็จะไม่ใช่สิ่งที่คิดได้ทำได้แค่ประชุมกันครึ่งวัน why us ที่ดีนั้นต้องได้มาแบบเลือดตาแทบกระเด็น บางเรื่องต้องรื้อระบบใหม่ สร้างมาตรฐานใหม่ บางเรื่องต้องใช้เวลาฝึกฝน บางเรื่องต้องลงทุนเพิ่ม หรือบางเรื่องก็ต้องไปเสาะแสวงหามา
ผมแนะนำว่าถ้าเขียน why us วันนี้ไม่ออก ก็อาจจะลองเขียน why us ในฝันว่าในมุมของลูกค้า ถ้าเรามี why us แบบนี้ซัก 5 ข้อ 10 ข้อ ก็จะโดดเด่นกว่าคู่แข่งแน่ๆ ต่อให้ในวันนี้ยังทำไม่ได้ แต่ก็จะได้มีเป้าหมายในการวางแผนและสร้างหรือทำมันขึ้นมาให้ได้จริงๆในอนาคต
การเขียน why us นี่ใช้กับคนที่เป็นพนักงานทำงานบริษัทที่ต้องต่อสู้กับเพื่อนร่วมงานที่เก่งๆ คลื่นลูกใหม่ที่กำลังมาแรงก็ได้นะครับ เพราะถ้าเราไม่สามารถบอกว่าทำไมต้องเป็นเรา ทำไมต้องใช้เราสำหรับงานที่มีเป็นลำดับต้นๆ โอกาสที่เวลาคลื่นลมแรงมาแล้วเราจะโดนพัดกระเด็นคนแรกก็มีสูง เขียนไว้วันนี้ หลายข้ออาจจะทำยังไม่ได้ แต่ก็จะรู้ได้ว่าเรายังขาดอะไรและต้องเติมหรือพัฒนาอะไรได้แน่
พอเขียนแล้วก็ควรจะให้คนอื่นดู ลองทดสอบ why us ของเราด้วยนะครับ ถ้าลองให้ลูกค้าดูแล้วเขาก็เฉยๆแสดงว่า why us นั้นยังไม่เด่นพอ ก็ต้องปรับต้องคิดกันให้คมต่อไป พอได้ why us ที่มั่นใจแล้วก็ต้องฝึกฝน พัฒนา ลงทุนกันจนทำให้โดดเด่นให้ได้ ถึงจะอยู่รอดได้ในยุคนี้โดยไม่วายวอดไปเสียก่อน
ลองเขียน why us ซักสามข้อห้าข้อกันดู เขียนได้แล้วโดนก็ดี แสดงว่าเราแข็งแรง เขียนยังไม่ออกก็ดี จะได้รู้ตัวและพยายามปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมนะครับ
โฆษณา