24 ส.ค. เวลา 12:30 • การศึกษา

พระ ดร.แมทธิว ริคารด์ : ชายผู้มีความสุขที่สุดในโลก

-------------
พระ ดร.แมทธิว ริคาร์ด(Matthieu Ricard) เกิดในครอบครัวปัญญาชน เป็นบุตรของนักปรัชญามีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศส เรียนจบปริญญาเอกสาขาพันธุกรรมโมเลกุล จากสถาบันปาสเตอร์ กรุงปารีส
ในวัย 26 ปี เขารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ รู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดหายไปในชีวิต เขาเชื่อว่ามีคำตอบอยู่ในโลกตะวันออก
เขาจึงมุ่งหน้าไปที่อินเดีย ออกบวช ละทิ้งทุกอย่าง ไปศึกษาพุทธธิเบต ณ อารามแห่งหนึ่งที่กาฐมาณฑุ เนปาล เทือกเขาหิมาลัย เขาฝึกสมาธิทุกวันอยู่คนเดียวในกระท่อมบนภูเขา
 
ต่อมา ริชาร์ด เดวิดสัน(Richad Davidson) นักวิทยาศาสตร์ทางประสาทวิทยา มหาวิทยาลัย วิสคอนซิน เขาและทีมงานวิจัยทางสมองได้เดินทางไปวัดค่าความสัมพันธ์ระหว่าง คอร์เท็กซ์ซีกซ้ายและขวา ของพระแมทธิว ริคารด์ ที่ฝึกสมาธิมาร่วม 30 ปี
ทีมงานวิจัยติดเซ็นเซอร์ 256 ชิ้น ที่กะโหลกศีรษะของแมทธิว แล้วสแกนสมองของเขา ขณะที่เขากำลังทำสมาธิ ผ่านการสแกนสมอง นาน 3 ชั่วโมงต่อเนื่อง
 
นักวิจัยตะลึงเมื่ออ่านผล การสแกนพบว่า ขณะทำสมาธิ สมองของแมทธิวสร้างคลื่นแกมมาทะลุกราฟในระดับที่ไม่เคยพบมาก่อน แปลผลได้ว่าแมทธิวมีความรู้สึกด้านลบต่ำมาก เขามีศักยภาพที่จะมีความสุข มากกว่าคนปกติหลายเท่า
 
สรุปว่าเท่าที่เคยมีการบันทึกมา แมทธิวเป็นเจ้าของสมองของคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
แมทธิวเชื่อว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาทำสมาธิทุกวัน เขามีคำแนะนำ ในการทำสมาธิดังนี้
1. มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดความคิดที่จะมา แต่การโฟกัสที่ลมหายใจ ช่วยทำให้จิตสงบลงและกระจ่างขึ้น
2. ให้จิตทำหน้าที่เหมือนกระจกเงาคือสะท้อนภาพ แต่ภาพนั้นไม่ติดบนกระจกเงา ใช้เทคนิคนี้กับความคิด ปล่อยให้ความคิดแล่นผ่านไป แต่ไม่ปรุงแต่ง
3. การคุมจิตไม่ได้ลดอิสรภาพของเรา แต่มันช่วยไม่ให้เราตกเป็นทาสของความคิด
4. จงมีสติเสมอ สังเกตความรู้สึกเมื่อลมหายใจเข้าและออก เมื่อสัมผัสว่าจิตกำลังกระเจิง ก็ค่อยๆดึงมันกลับมาที่ลมหายใจ นี่ก็คืออานาปานสติ
5. รักษาจิตให้อยู่กับปัจจุบันขณะ มากกว่าจมอยู่ในอดีตหรืออนาคต เราอาจโฟกัสที่สิ่งอื่นก็ได้ เช่น สภาพอากาศที่ร้อนหรือเย็นหรือเสียงที่ได้ยิน ลองนึกภาพว่าเรากำลังกำหนดทิศของเรือ ไม่ใช่ปล่อยให้มันล่องลอยไปตามยถากรรม
6. พอฝึกสมาธิจนเริ่มเก่งขึ้น ก็สามารถจัดการกับความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายง่ายขึ้น ขอพื้นที่คืนมาจากความรู้สึกไม่ดี จงมองดูประสบการณ์ของเราเหมือนดูกองไฟ ถ้าเรารู้สึกโกรธ ก็แค่ให้รับรู้ว่ามีความโกรธ แต่ไม่โกรธเมื่อรู้สึกวิตก ก็รับรู้ว่ามีความวิตก แต่ไม่วิตก
การแค่รับรู้ทำให้เราไม่เติมเชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟ และมันจะมอดไปเอง ระหว่างทำสมาธิ ก็รับความรู้สึกดีๆ เช่น ความเมตตา
7. การฝึกจิตก็เหมือนฝึกเล่นเปียโน ทำสัก 20 นาทีย่อมได้ผลดีกว่าทำไม่กี่วินาที จงทำสม่ำเสมอ เหมือนรดน้ำต้นไม้ มันคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป
แมทธิวทิ้งท้ายว่า "ฉันรู้จักพระที่มีความสุขกว่าฉันอีก"
สรุปจากหนังสือ "หิน 15 ก้อน ของสตีฟจ๊อบส์" โดยวินทร์ เลียววาริณ
โฆษณา