25 ส.ค. เวลา 14:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เมื่อมีคนถาม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่า "ควรลงทุนกับอะไร?"

บัฟเฟตต์ตอบว่า 'ลงทุนกับตัวเอง' แล้วมันหมายความว่ายังไงกันแน่?
🤝 ในการประชุมผู้ถือหุ้นของเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์เมื่อปี 2022 มีนักลงทุนหญิงคนหนึ่งถาม วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) และ ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) ว่า
"เราประสบปัญหาเงินเฟ้อมาตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่อัตราเงินเฟ้อเกิน 7% นับตั้งแต่ปี 1982 คุณทั้งคู่มีประสบการณ์คล้ายคลึงกันตั้งแต่ปี 1970 ถึงปี 1975 แต่ก็ยังลงทุนได้อย่างคุ้มค่าที่สุดในชีวิต ดังนั้นถ้าคุณสามารถเลือกหุ้นเพียงตัวเดียวที่แข็งแกร่งแม้ใน ยุคเงินเฟ้อ หนูจะขอบคุณมากถ้าคุณช่วยบอกว่ามันเป็นหุ้นแบบไหนและจุดแข็งของมันคืออะไร"
💬 บัฟเฟตต์ หัวเราะแล้วตอบว่า "ผมจะบอกอะไรให้ฟังนะ ซึ่งดีกว่าหุ้นมาก"
แล้วเขาก็พูดต่อว่า
“ทางเลือกที่ดีที่สุดที่หนูทำได้คือ การเป็นคนเก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ ถ้าหนูเป็นหมอหรือทนายความที่ดีที่สุดในเมืองของตัวเองชาวบ้านจะมุ่งตรงไปหาหนูเพียงคนเดียว แม้พวกเขาจะต้องจ่ายเงินก้อนโตก็ตาม ไม่เพียงแต่เงินเท่านั้น พวกเขายังจะนำผ้าฝ้ายหรืออะไร ก็ตามที่พวกเขาทำ มาแลกเปลี่ยนกับความสามารถของหนูอีกด้วย
ถ้าหนูมีความสามารถที่พวกเขาต้องการไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เบสบอล หรือกฎหมาย ก็ไม่มีใครแย่งความสามารถนั้นไปได้
ดังนั้นแม้จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ แต่หนูจะไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนเพื่อตัวเราเองซึ่งไม่ต้องจ่ายภาษีใดๆ มันเป็นเรื่องของการพัฒนาตัวเอง
ก่อนจะเป็นคนเก่งเรื่องใดเป็นพิเศษ หนูต้องใคร่ครวญว่าตัวเองอยากเป็นคนแบบไหนและจะต้องทำอะไรจึงจะเป็นคนแบบนั้น
มูลค่าของเงิน 1 ดอลลาร์จะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม เมื่อหนูกลายเป็นหมอ ที่เก่งที่สุดในเมือง ชาวบ้านจะนำไก่มาให้ ไม่ว่าอะไรก็จะสรรหามา ถ้าหนูเป็นนักเต้นที่ยอดเยี่ยม ชาวบ้านก็ยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อดูหนูเต้น ถ้าหนูมีความสามารถมากพอจะขายได้ เราก็จะยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อความสามารถนั้น"
คำตอบนี้น่าสนใจ สิ่งที่บัฟเฟตต์แนะนำไม่ใช่แค่เรื่องของการพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นด้วยการลงทุนกับสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีเท่านั้น แต่มันชี้ให้เห็นว่าแต่ละคนก็ประสบความสำเร็จได้ ด้วยเส้นทางของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องเหมือนกันด้วย
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเราไม่จำเป็นต้องทำให้ได้เหมือนบัฟเฟตต์ทุกอย่างถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิต
[[ 📖 ทำไมการลงทุนในตัวเองถึงสำคัญ? ]]
ในหนังสือ “ความลับเรื่องเงินที่แม่อยากบอกลูกก่อนตาย” โดยคุณพัคโซยอน คุณแม่ที่เรียนรู้และมีประสบการณ์ทำงานในตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้กว่า 20 ปี เขียนอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นกว่าจะได้ผลตอบแทน 100% นั้นไม่ง่ายเลย
แต่หากเราสามารถพัฒนาตัวเอง เพิ่มรายได้ต่อปีจากงานที่ดีขึ้น มีข้อเสนอที่เข้ามาในชีวิตที่ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นเพราะความสามารถของเรา อันนี้เป็นเรื่องที่ดีมากๆ
เพราะการลงทุนในตลาดหุ้นเองก็มีความผันผวน แต่ความสามารถและทักษะของเราไม่มีใครสามารถแย่งไปได้ เราสามารถควบคุมชีวิตและการตัดสินใจของเราได้
หากเรารู้สึกพอใจกับงาน/เงินในปัจจุบันก็ทำต่อไป หรือถ้ารู้สึกว่ามีข้อเสนอที่ดีกว่าก็ย้ายออกไปทำงานที่บริษัทอื่นไม่ยากหากเรามีความสามารถและสร้างผลงานที่ดี
หรือหากทะเยอทะยานอีกหน่อย ทำธุรกิจของตัวเอง เราก็สามารถมีสิทธิ์เลือกชีวิตที่ตัวเองต้องการได้
👩‍🏫 “คนที่แม่รู้จักคนหนึ่งเคยใช้ชีวิตเป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆแต่เมื่อเธอแต่งงานและมีลูก เธอลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเต็มเวลาเธอค่อนข้างทุ่มเทให้การศึกษาของลูกๆ จึงใช้ปรัชญาและวิธีฝึกฝนของตัวเอง จนลูกทั้งสองคนเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลได้ แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ๆ เธอได้รับโทรศัพท์จากสถาบันการศึกษาชื่อดังในย่านแดชีดงให้รับงานที่ปรึกษา”
“หลังครุ่นคิดอยู่นาน เธอก็กลับมาทำงานอีกครั้งตอนอายุ 50 ปีและพอใจกับงานของเธอมาก เมื่อเธอปรับตัวได้ อายุและประสบการณ์ทำงานของเธอก็ไม่มีปัญหาอะไร พลังแห่งความเป็นเลิศนั้นแข็งแกร่งมาก” พัคโซยอนอธิบายเพิ่มเติม
การลงทุนในตัวเองนอกจากจะทำให้เรามีทางเลือกในชีวิตเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังช่วยสร้างความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนงานระหว่างทางได้อีกด้วย
เส้นทางชีวิตเมื่อก่อนที่เราน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือ เรียนจบ ทำงานบริษัท แต่งงาน สร้างครอบครัว และทำงานจนเกษียณอายุ
เส้นทางแบบนั้นดูมั่นคงดี แต่ตอนนี้คงไม่ค่อยมีให้เห็นกันแล้ว เพราะเส้นทางอาชีพและอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เราเห็นเด็กรุ่นใหม่อยากเป็นยูทูบเบอร์กันเต็มบ้านเต็มเมือง ต่อไปอาจจะมีคนที่อยากทำอาชีพเกี่ยวกับพัฒนา AI มากขึ้น เพราะอุตสาหกรรม AI ที่กำลังบูม
อีก 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี เราไม่รู้หรอกว่าอาชีพที่เป็นที่ต้องการของตลาดจะเป็นอะไร เพราะฉะนั้นการลงทุนในตัวเอง ลงทุนในความรู้และพัฒนาอยู่เสมอ (Continuous Learning) จึงเป็นทักษะที่สำคัญมากๆ ในยุคสมัยนี้
[[ 💰 จัด Work-Life Balance ตามช่วงจังหวะอายุ ]]
เมื่อลงทุนในตัวเองแล้ว เราจะเริ่มเห็นจุดได้เปรียบ จุดแข็ง ความแตกต่างที่สามารถผลักดันให้เราไปข้างหน้าได้ การค้นหาสิ่งที่ชอบ นั้นจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้ในช่วงแรกๆ ของการเริ่มทำงาน คำว่าสมดุลในชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) อาจจะหนักไปทางการทำงานมากกว่าก็ตาม
พัคโซยอน แชร์เรื่องนี้ว่า “Work-Life Balance เป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าลูกยึดติดอยู่กับมันอย่างหน้ามืดตามัว ลูกอาจพลาดตอนเจอช่วงเวลาวิกฤตในอาชีพการงาน ดังนั้นไม่ว่าลูกจะทำอะไร จงค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ สร้างความสามารถในการแข่งขันและความแตกต่างจากผู้อื่นขึ้นมา”
ในช่วงแรกๆ เราอาจจะต้องทำงานหนักหน่อย โดยเฉพาะช่วงที่ยังหนุ่มสาว เพื่อสร้างความได้เปรียบทางอาชีพ แล้วค่อยๆ ลดลงงานลงตามอายุที่มากขึ้นและภาระทางครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นด้วย
อีก 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปีต่อจากนี้ตลาดหุ้นจะเป็นยังไง เราไม่มีทางรู้หรอก เราคาดเดาตลาดไม่ได้ คำตอบของบัฟเฟตต์ ก็ชัดเจนว่าไม่ได้บอกว่าหุ้นตัวไหนที่จะแข็งแกร่งอยู่ไปตลอด
นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมบัฟเฟตต์จึงบอกว่า การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนกับตัวของเราเอง เพราะคุณเป็นสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดที่มีแล้ว
แต่หากเราลงทุนกับตัวเอง พัฒนาความสามารถจนมันกลายเป็นจุดแข็ง เรียนรู้จนแตกต่างจากคนอื่น เชี่ยวชาญในสิ่งที่ตัวเองทำ ยืดหยุ่น ปรับตัว ให้เข้ากับความต้องการของตลาด
อะไรก็ตามที่คุณสามารถพัฒนาความสามารถและทำให้ตัวเองมีคุณค่าจะให้ผลตอบแทนกลับมาเป็นสิบเท่า ไม่ว่าภาวะเงินเฟ้อหรือเศรษฐกิจที่ไม่ดี ตลาดหุ้นจะผันผวนแค่ไหน เราก็ยังมี ‘ความรู้และทักษะ’ เป็นทรัพย์สินที่มีค่า ไม่มีใครมาเก็บภาษี และขโมยไปจากคุณได้
1
- โสภณ ศุภมั่งมี (บรรณาธิการ #aomMONEY)
อ้างอิง : หนังสือ "ความลับเรื่องเงินที่แม่อยากบอกลูกก่อนตาย"
#Investment #ลงทุนในตัวเอง #การเงินส่วนบุคคล #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #warrenbuffett #personalfinance
โฆษณา