27 ส.ค. เวลา 06:40 • หนังสือ

ถ้าอีก 1 ปีฉันจะต้องตาย...

ผู้เขียน: โอซาวะ ทาเคโทชิ
ผู้แปล: วรพร สิงขรอาจ
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น (WeLearn)
หมวดหมู่: จิตวิทยา การพัฒนาตัวเอง , การพัฒนาตัวเอง how to
---
บทเรียนจากหนังสือ “ถ้าอีก 1 ปีฉันจะต้องตาย...”
1. ถ้าอีก 1 ปีฉันจะต้องตาย...
การกำหนดเส้นตายของชีวิตจะช่วยให้เรามองเห็นอย่างชัดเจนว่าเราอยากทำอะไร อยากอยู่กับใคร และอะไรคือสิ่งที่สำคัญสำหรับเรา
.
2. เรามีความหมายเสมอ
เมื่อเข้าใกล้ช่วงสุดท้ายของชีวิต คนส่วนใหญ่จะเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบและมีความสุข
การค้นหาความหมายของชีวิตเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้เราสามารถสัมผัสได้ถึงความสุขและความสงบ แต่เรามักจะนำความหมายของชีวิตไปผูกติดกับความคิดที่ว่า “สิ่งที่เราทำเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือไม่”
แม้มันจะเป็นสิ่งที่ดีแต่การยึดติดกับความคิดนี้มากเกินไป ก็หมายความว่าผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้นั้นเป็นคนที่ไร้ความหมายหรือเปล่า?
คำตอบคือ “ไม่ครับ” เพราะในเรื่องนี้เราต้องมองให้ลึกกว่านั้น ไม่ใช่แค่ว่าเขาทำอะไรแต่ต้องมองให้ลึกลงไปว่าเขาเป็นใคร เพราะถึงแม้เขาจะสร้างประโยชน์อะไรไม่ได้แต่แค่การมีอยู่ของเขาก็สามารถทำให้ใครสักคนมีความสุขได้แล้ว และแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกได้ว่าชีวิตของเขานั้นมีความหมาย
.
3. เลือกเส้นทางที่คุณหลงรักในเวลานั้น
ความรู้สึกเสียนั้นมันไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย เราต่างพยายามที่จะใช้ชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงมัน แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะรู้สึกเสียดายอยู่ดี
เมื่อมีเส้นทางให้เราเลือก ทันทีที่เราเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนี่งเราจะรู้สึกเสียดายจากการไม่ได้เลือกอีกเส้นทางอย่างแน่นอน เช่น ถ้าเราเลือก A ผ่านไปสักพักเราจะรู้สึกเสียดายที่ไม่เลือก B แต่ถ้าเราเลือก B เราก็จะเสียดายที่ไม่ได้เลือก A อีกอยู่ดี
สาเหตุเป็นเพราะความไม่รู้ ความไม่รู้ว่าทางเลือกอีกทางจะพาเราไปที่ไหน ทำให้จินตนาการของเราทำงานและนึกภาพว่าอีกเส้นทางอาจนำเราไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า จริงเหรอ? ไม่มีใครรู้
ที่รู้ได้แน่ๆ เลยคือเราต้องเลือกเส้นทางที่เราหลงรักมากที่สุด ไม่มีเส้นทางไหนเพอร์เฟคและโดยไปด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไรคุณก็จะรู้สึกเสียดาย ดังนั้นทำไมคุณจึงจะไม่เลือกในสิ่งที่คุณรักล่ะ
.
4. สิ่งสำคัญจะช่วยเติมเต็มชีวิตของเรา
แต่ล่ะคนมีสิ่งที่เราให้ความสำคัญแตกต่างกันไป ชีวิตนี้เป็นของคุณ มันจึงไม่มีอะไรที่ผิดหรือถูก ไม่มีสมการตายตัวและไม่มีใครจะสามารถตอบคำถามที่ว่า “สิ่งสำคัญสำหรับเราคืออะไร” ได้นอกจาก ตัวเราเอง
แต่ถ้าให้คำใบ้ได้ ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับเราจริงๆ ส่วนใหญ่แล้ววมักเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้
.
5. จริงๆ แล้วมีหลากหลายคนมากนะที่พร้อมจะช่วยเหลือเรา
การพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่จะเป็นอย่างไรหากอีก 1 ปีเราจะต้องจากโลกนี้ไป ทุกสิ่งทุ่งอย่างที่เราต้องทำ เราต้องเอามันมามัดรวมกันแล้วทำให้เสร็จใช่หรือไม่
อาจจะใช่แต่น่าจะไม่ใช่ครับ เราคนเดียวไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้และเราทุกคนต่างเข้าใจเรื่องนี้ดี บางอย่างเราอาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น เราอาจไม่เคยทำมันมาก่อน หรือไม่มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกออกแบบมาให้ต้องช่วยกันทำแต่แรกแล้วก็ได้
และอันที่จริงก็อาจจะมีคนที่พร้อมช่วยเราอยู่แล้วก็ได้เราเพียงแค่ต้องขอเท่านั้นเอง
.
6. เป็นตัวของคุณนั่นแหละ..ดีที่สุดแล้ว
เรามักพูดถึง “การเป็นตัวของตัวเอง” อยู่บ่อยๆ แต่จะมีสักกี่คนที่นิยามคำนี้ได้จริงๆ คุณหมอโอซะวาให้มุมมองกับเราว่าไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงเวลาไหนจริงๆ แล้วเราก็ต่างเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นตัวเราที่ประหม่าหรือ ตัวเราที่กำลังกลัว ต่างก็เป็นตัวเราเอง
ส่วนคนที่รู้สึกว่า “อยากเป็นตัวของตัวเอง” ทั้งๆ ที่ก็พยายามเป็นตัวเองอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเป็นเพราะเรารู้สึกว่า “เราไม่ชอบตัวเองแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้” หรือ “ไม่อยากใช้ชีวิตแบบที่ผ่านๆ มา”
ใครก็ตามที่รู้สึกแบบนั้นขอให้รู้ได้เลยว่า นั้นคือสัญญาณที่บอกว่า อาจถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนไปเป็น “คนอื่น” แต่มันคือการเปลี่ยน “version”
การที่เราเป็นตัวเองนั้นดีที่สุดแล้ว แต่เราไม่ได้มี version เดียว ทั้งตอนที่ตั้งใจเรียนมากๆ หรือตอนที่มีวินัยในการออกกำลังกาย หรือตัวเราในตอนที่ติดเกม นั้นก็เป็นตัวเราแค่คนล่ะ version
หากคุณไม่ชอบตัวเองตอนนี้ นั้นอาจหมายถึงได้เวลาอัปเกรดแล้ว
.
7. ความหมายของงาน
เมื่อพูดถึงเรื่องชีวิต งานเองก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เพราะเราทุกคนต่างล้วนทำงาน คำถามคือ
“คุณพึงพอใจในงานและวิธีการทำงานของตัวเองหรือยัง??”
มีคนมากมายที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนล้มป่วย แต่พอป่วยขึ้นมากลับเกิดคำถามที่ว่า “จะทำงานนี้ต่อไปดีไหม” หรือ “วิธีการทำงานที่ผ่านมาของเรานี้มันถูกต้องจริงๆ เหรอ”
บางคนอาจคิดว่า “ช่างมันสิ ไม่ใช่งานที่อยากทำก็ไม่เป็นไรนี้ขอแค่ได้เงินก็พอ” จริงเหรอ?? งั้นถ้าอีก 1 ปีคุณจะต้องตายคุณยังอยากจะทำงานนี้อยู่ไหมหรือจะยังคงใช้วิธีการทำงานแบบเดิมๆ อยู่หรือเปล่า
ยังจำได้ไหมว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตเรามักต้องการความสุขและความสงบ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรามีความสุขได้คืองาน แต่งานนั้นต้องเป็นงานที่มีความหมายและงานที่มีความหมายคืองานมอบความสุขให้คนอื่นนั่นเอง
ถ้าคุณเริ่มสับสนแล้วว่าคุณอยากจะทำงานที่กำลังหรือยังจะใช้วิธีการทำงานแบบเดิมต่อไปหรือไม่ ขอให้คุณลองมองหาข้อดีของงานที่คุณทำวว่ามันมอบความสุขให้ใครบ้าง
หากคุณไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำนั้นมีประโยชน์และมอบความสุขให้คนอื่นอย่างไร นั้นอาจหมายความว่างานที่คุณทำหรือววิธีการทำงานที่คุณกำลังใช้อยู่นั้นไม่ถูกต้องเสียเท่าไหร่
.
8. ความพยายามของเราไม่เคยสูญเปล่า
โลกเรามีเรื่องบ้าๆ อยู่มากมาย เช่น คนส่วนใหญ่เชื่อแบบหัวปักหัวปัมวว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น” แต่บ่อยครั้งที่ความพยายามของเราไม่ได้รับผลลัพธ์ในแบบที่เราคิด
นั้นหมายความว่าที่พยายามมามันสูญเปล่าใช่ไหม? ดูเหมือนจะใช่แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ไม่เลย ไม่เคยมีความพยายามใดที่สูญเปล่า เพราะถึงแม้จะไม่ได้ผลลัพธ์หรือได้มาในรู้แบบที่เราไม่ได้คาดหวัง แต่ความจริงที่ว่าเราได้ “พยายามแล้ว” นั่นก็ยังคงอยู่
รวมถึงความรู้ ประสบการณ์ ผู้คน ในเส้นทางของความพยายามเราได้รับอะไรมามากมาย ถึงแม้ผลลัพธ์จะไม่ใช่สิ่งที่หวังแต่มันไม่เคยสูญเปล่าเลย
.
9. ตามเสียงหัวใจ
นี้คือคำแนะนำที่เรียบง่ายมากที่สุดแล้วหากคุณไม่อยากจากโลกนี้ไปด้วยความรู้สึกเสียดายหรือว่างเปล่า การทำตามเสียงของหัวใจคือสิ่งที่เราควรทำ
แต่ทว่าจิตใจของเรามันช่างซับซ้อนหลายคนไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้ตนต้องการอะไร
ในกรณีนี้สิ่งที่คุณควรทำคือการย้อนกลับไปมองชีวิตที่ผ่านมา และหาว่า อะไร หรือ ใครที่ทำให้เรามีความสุข ช่วงเวลาไหนที่เราดูมีชีวิตชีวามากที่สุดแล้วคุณจะค้นพบเองว่าอะไรคือสิ่งที่หัวใจคุณต้องการ
แม้มันจะยากคุณอาจไม่สามารถหาคำตอบได้ในครั้งแรกๆ แต่ถ้าคุณฝึกฝนบ่อยๆ เข้า สิ่งที่หัวใจของคุณต้องการก็จะแจ่มชัดขึ้นอย่างแน่นอน
---
How do you intend to live your life? From now on… Like it or not you’ll have to move on, time to pull yourself free. Don’t get stuck in a worthless place like this forever. Go far, far away.
- Askeladd, Vinland Saga SS 1
โฆษณา