28 ส.ค. เวลา 06:06 • สุขภาพ

ผมอยู่ quarter สุดท้ายของชีวิตแล้ว ไม่ต้องรักษาอะไรแล้วหมอ

เป็นคำพูดจากคนไข้อายุ 80 ปีคนหนึ่ง ที่ฉันชอบเรียกเขาง่ายๆ ว่าพ่อ
เราเจอกันในวันที่พ่อเพิ่งตรวจพบก้อนในตับ เพิ่งส่องกล้องเอาชิ้นเนื้อจากลำไส้ไปตรวจ ผลชิ้นเนื้อยังไม่ออกด้วยซ้ำ แต่ดูจากทรงแล้ว ก็คงเป็นมะเร็งลำไส้ ระยะลุกลาม ลูกๆพาคนไข้มาเพราะว่าอ่อนเพลีย ทานอาหารไม่ค่อยได้ มีไข้ และพ่อบอกไว้ว่า ถ้าเป็นมะเร็งก็จะไม่รักษา
ลูกจึงมองว่า ถ้าไม่รักษามะเร็ง ก็มาพักรักษาตัวที่คูนก่อนละกัน
ในวันที่พบพ่อ พ่อยังแข็งแรงอยู่พอตัว และมาดดีมากๆ ใส่เสื้อยืดมีเสื้อกั้กซาฟารีสวมทับ ใส่หมวกแก๊ปสีดำ
หลังจากตรวจร่างกายพบว่าพ่อมีไข้สูง จึงขอเจาะเลือดและให้ยาฆ่าเชื้อ แต่...พ่อบอกไม่เอา มาพักฟื้นคืนเดียว ลูกกับภรรยาจะได้พัก พ่อไม่ได้เป็นอะไรมาก กินยาก็พอ....
ในใจคิดว่า เอาแล้วววว เจอคนไข้ตัวตนสูงอีกแล้วฉันน
3
แต่หลังจากดูทุกอย่าง ก็คิดว่า ลองดู กินยาดูก่อนก็ได้ แต่ต่อรองว่าถึงจุดที่ ถ้าไม่ดีก็ขอฉีดยาได้มั้ย
พ่อก็พยักหน้าแบบแคนๆ
วันรุ่งขึ้น ดูเหมือนดีขึ้น มีแรง สดชื่นขึ้น ฉันไปราวด์ พ่อก็มีแรงพูดคุยด้วย เล่าอาการต่างๆที่เริ่มป่วยให้ฟัง แล้วก็บอกว่าเจ็บที่ลิ้นปี่ ตรงนี้ ซึ่งเอามือลูบไปก็เจอก้อนตับคลำได้ชัดเจน พ่อมองหน้าฉัน แล้วถามว่า ใช้มะเร็งมั้ยหมอ....
ฉันถามกลับว่า เพราะอะไรถึงคิดว่าจะเป็นมะเร็ง
พ่อตอบว่า ก็ไม่รู้ เจอก้อนตอนอายุขนาดนี้ ก็คงต้องคิดว่าเป็นมะเร็ง
ฉันตอบกลับไปว่า ฉันเองก็ไม่รู้ เพราะตอนนั้นชิ้นเนื้อก็ยังไม่ออกจริงๆ แต่ก็ยอมรับว่า มีโอกาสเป็นไปได้
พ่อตอบว่า ถ้าเป็นไม่รักษานะหมอ ไม่ผ่าตัด ไม่เอาเคมี
1
ฉันรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ตัดสินใดๆ
ฉันมีแต่คำถาม ที่อยากรู้จักคนไข้ของฉันมากขึ้น
พ่อพูดต่อว่า ผมอยู่มา quarter ที่ 4 ของชีวิตแล้ว ผมผ่านมาเยอะแล้ว ไม่ต้องรักษาอะไรให้ผมทรมาน
ฉันถามพ่อว่า quarter ที่ 4 นี่แปลว่าอะไร
พ่อก็บอกว่า ตอนนี้อายุ 80 คนเราอยู่ได้ ถึงเท่านี้ ก็เกินค่าเฉลี่ยแล้ว ไม่ต้องอยู่เพิ่มให้ลำบากลูกหลาน
3
ฉันถามต่อว่า รู้สึกยังไงบ้าง ที่ได้อยู่มาถึง quarter ที่ 4
พ่อก็บอกว่า มันก็ดีนะ ได้ทำอะไรมาเยอะ ผ่านอะไรมาเยอะ
แล้วก็เล่าให้ฟังตั้งแต่เด็กจนอายุ 80 ว่าผ่านอะไรมาบ้าง
พ่อเป็นหนุ่มโก้ ตั้งแต่วัยรุ่น ท่าทางสมาร์ท คิดดูสิ คนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เป็นพูดได้ 4 ภาษา เป็นนักกีฬาบาส เป็นนักดนตรี เป็นดรัมเมเยอร์ ประมาณว่า งานกีฬาสี พ่อเหมาทุกจ๊อบ เล่นกีฬาเสร็จ รีบไปเปลี่ยนชุดมาเล่นวงโยต่อ แบบนั้นเลย ตอนพ่อเล่า สายตามีประกาย ยิ้มสนุกสนาน เอารูป เอาคลิปให้ดูมากมาย
6
ซึ่งเรียกได้ว่า ผ่านอะไรมาเยอะมากๆจริงๆ ประสบความสำเร็จทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว ผ่านเหตุการณ์ตื่นเต้นมาก็เยอะ บ้านพ่อเมื่อก่อนอยู่นราธิวาส โดน car bomb แต่ก็รอดมาได้ พ่อทำการค้าขายยาง เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นที่รู้จักโดยกว้างขวาง มีเพื่อนเยอะ ชอบจิบเบียร์ สะสมบรั่นดี ชอบร้องเพลง ชอบฟังแจ๊ส ได้รับรู้คุณค่า ความหมายการมีชีวิตอยู่ของพ่อ ผ่านบทสนทนาวันนั้น
2
เราคุยกันวันนั้น ไม่เหมือนหมอคุยกับคนไข้หรอก เหมือนคุยกับผู้ใหญ่คนหนึ่งที่สอนวิชาชีวิตให้ฉัน
ตกบ่ายวันนั้น พ่อเพลียอีกรอบ ไข้ขึ้นสูง จึงไปคุยใหม่ ว่ายาฆ่าเชื้อแบบกินน่าจะเอาไม่อยู่ สงสัยต้องฉีด
ซึ่งตอนนั้นพ่อก็ยอมฉีดยา
3
หลังจากฉีดยา ไข้ลงดี เราได้คุยกันอีกหลายครั้ง
จนถึงวันที่ผลชิ้นเนื้อออก ฉันก็รู้อยู่แล้ว ว่ามันต้องเป็นมะเร็ง แต่ก็คิดว่าได้ปูทางพ่อมาพอควร
ก็เลยบอกพ่อไป ว่า เป็นมะเร็ง ซึ่งแน่นอน เป็นระยะที่ 4 แล้ว ก้อนในตับก็เยอะ เรียกได้ว่า สัดส่วนมะเร็งเยอะกว่าเนื้อตับปกติที่เหลืออยู่
ฉันบอกพ่อตาม step การบอกข่าวร้าย พ่อรับรู้ทุกอย่างด้วยท่าทีสงบ
แล้วถามว่า ผมมีเวลาเหลือเท่าไหร่
3
ฉันประเมินจากทุกอย่าง ก็บอกว่า เหลือไม่มาก แต่ในสภาวะร่างกายของพ่อ ตอนนั้นยังสามารถรักษาได้อยู่ โดยใช้ยา ซึ่งฉันขอให้เป็นคุณหมอมะเร็งให้ข้อมูลตรงนี้
หลังจากพบคุณหมอมะเร็ง ฉันถามพ่อว่า ถ้ายามันไม่ได้แรงมาก ให้ยาแล้วดีขึ้น ก็ให้ต่อ ถ้าให้ยาแล้วแย่ลงก็หยุด ซึ่งการรักษาเคมีบำบัดครั้งนี้ มันจะเป็นการรักษาไม่ใช่ให้พ่ออยู่ใน quarter ที่ 4 นานขึ้น แต่มันจะเป็นการรักษาให้พ่อมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า และความหมายในแบบของพ่อ
3
พ่อกังวลมากๆเวลาที่จะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พ่อเวลาเข้าห้องน้ำ ก็จะทำธุระด้วยตัวเอง ถ้าจะให้ช่วยก็มีแต่แม่เท่านั้น ที่ยอมให้ช่วย ให้เห็นชัดเจนว่า การขับถ่ายที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้นั้น เป็นหนึ่งในสิ่งที่พ่อไม่ต้องการเลยในชีวิต
2
หลังจากคุยกับหมอมะเร็ง พอตกลงกับการให้ยาเคมีบำบัด หลังให้ยาพ่ออาการดีขึ้น ทานได้ เดินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ ไปเที่ยวห้างได้ เราให้ยากันหลายครั้ง พ่ออาการดี ไม่มีน้ำหนักลด ทานอาหารนอกบ้านได้ดี ไปไหนมาไหนได้
จนวันหนึ่ง พ่อไข้ขึ้น มานอนรพ.ตรวจพบปอดอักเสบ หลังให้ยาฆ่าเชื้ออาการปอดดีขึ้นตามลำดับ แต่ร่างกายและตับหลังติดเชื้อทรุดลง ระหว่างพยายามฟื้นตัวเพื่อดูว่าสามารถให้ยาเคมีบำบัดต่อไปไหวมั้ย ช่วงนี้เราได้คุยกันหลายเรื่อง เพราะมันเหมือนกำลังจะหงายไพ่ใบถัดไป ถ้าให้ยาไม่ไหว ก็คือสิ้นสุดการรักษา ถ้าฟื้นตัวได้ก็อาจจะได้ไปต่อ
5
พ่อชอบถามว่า ตอนนี้เหลืออีกกี่% นะหมอ
ซึ่งเราก็ตอบไม่ได้ ได้แต่ถามว่า พ่อว่าไหวมั้ย
พ่อเองมักจะบอกว่า ได้ถึงสิ้นปีก็ดีนะ
ก็ถามต่อว่า สิ้นปี มีความหมายกับพ่อยังไงบ้าง
พ่อบอกอยากอยู่ถึงวันเกิด เดือนตค. นั่นหมายถึงอีกประมาณ 3 เดือน
ฉันเองก็บอกว่า ถ้าให้ยาไหว ก็มีลุ้น พ่อก็เงียบๆ ฉันถามพ่อต่อว่า ถ้าไม่ถึง พ่อคิดยังไง
4
พ่อบอกว่า ไม่ถึงก็ไม่เป็นไร เอาแบบที่คุยกันไหวแหละหมอ
ไม่ทรมาน ไม่ยื้อ
ฉันก็ยิ้มๆ พยักหน้า พ่อพร้อมมั้ย ฉันถาม
พ่อก็บอกว่า ก็พยายามอยู่ มันก็มีบ้างอะเนอะหมอ เราก็อยากอยู่กับคนที่เรารักอยู่ดี
แต่อยู่ต่อแบบทรมานก็ไม่เอา
แม่ก็รับฟังอยู่ข้างๆ
1
มีวันหนึ่ง พ่อเริ่มหาเส้นเลือดให้ยาให้สารอาหารไม่ได้ ก็เลยใส่สายสวนที่แขน ฉันทำอยู่นานพอควร เพราะทำได้ยาก น้องพยบที่เป็นนักดนตรีบำบัดมาชวนพ่อคุย ลูกสาวเปิดเพลงให้ตามที่พ่อขอ นั่งนึกชื่อเพลง ฮัมเพลงกันไป คุยกับนักดนตรีไปพลางๆ ฉันก็ทำเส้นได้โดนไม่กดดัน ถือว่าเป็นการทำเส้น ที่ชิลที่สุดที่เคยทำมาก่อน
8
วันรุ่งขึ้นแม่เล่าให้ฟังว่า พ่อบอกว่า หมอแนตเหมือนลูกสาวอีกคน ฉันก็ได้แต่ปลื้มใจ
เลยหันไปแซวพ่อ นี่ดีนะ มีลูกเพิ่มอีกคน จบหมอเลย ไม่ต้องส่งเสีย พ่อกับแม่ก็หัวเราะ
7
บางทีความสุขของฉัน คือการได้ทำให้คนที่อยู่ในช่วงชีวิตที่ยากๆของเค้า ได้หัวเราะ ไม่ยิ้มด้วยกัน
10
มีวันหนึ่งฉันไปเยี่ยม พ่อดูหน้าซึมๆ นอนอยู่บนโซฟา ฉันก็นั่งพื้นคุย เป็นยังไงคะ ทำไมวันนี้ดูจ๋อยๆ
แม่ก็บอกว่า เมื่อคืนพ่อหงุดหงิด เข้าห้องน้ำ ไม่ยอมให้ใครช่วย แม่ก็ไม่ไหว
แล้ววันนี้ตื่นมา ก็ไม่ยอมกินอะไร แม่ถาม ก็หงุดหงิดใส่
1
ฉันมองพ่อ แววตาพ่อวันนี้เศร้า ถามพ่อว่า พ่อรู้สึกอย่างไร
พ่อตอบว่า เสียใจ เสียใจที่พูดไม่ดีกับแม่
ฉันเงยหน้ามองหน้าแม่ แม่ก็พยักหน้า ประมาณว่า ตะกี๊เพิ่งโดนเอ็ดมา
พ่อแม้จะเป็นเหมือน celeb นราธิวาส แต่นิสัยหนึ่งของพ่อ คือ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ถ้าใครมาบอกให้ทำอะไรมากๆ ก็จะหงุดหงิด นี่ก็คงเพิ่งหงุดหงิดใส่แม่มา เพราะแม่คะยั้นคะยอให้กินข้าว แต่ยังไม่อยากกิน เลยดุไป แล้วตอนนี้ก็เลยเสียใจที่ทำไป
4
ฉันหันกลับมาคุยกับพ่อต่อ
พ่อพูดไม่ดีกับแม่หรอ
พ่อพยักหน้า น้ำตาซึม
แล้วก็บอกว่า เค้าก็ดีแสนดี ดีกับเรามากๆ ทำให้เราทุกอย่าง แต่เราก็ทำไม่ดีกับเค้า
ฉันถามต่อว่า แล้วพ่อคิดว่า จะแก้เหตุการณ์นี้ยังไง
พ่อตอบว่า ก็คงพยายามไม่ทำอีก แต่แม่ก็อยากพูดซ้ำบ่อยๆ
แม่ก็ตอบว่า โอเค
ฉันถามต่อว่า ตอนนี้อยากบอกอะไรแม่มั้ย พ่อก็ว่า อยากขอโทษ
แม่ก็บอกว่า แม่ไม่ได้โกรธ
ฉันถามต่อว่า ทำไมแม่ถึงไม่โกรธพ่อ
พ่อก็บอกว่า เพราะแม่รักพ่อ เค้าดีกับพ่อมาก
แล้วเพราะอะไร เค้าถึงรักพ่อ
6
พ่อก็บอกไม่รู้ แม่ก็พูดขึ้นมาทันที ว่าพ่อดูแลแม่ดีมาก พ่อใส่ใจ ให้ความสำคัญ ถึงจะไปเที่ยวไหน ก็บอกแม่ตลอด ไม่มีออกนอกลู่นอกทาง แม่อยากไปไหน อยากทำอะไร ก็ให้ทำตลอด ดูแลทุกอย่างในบ้านจริงๆ
ฉันถามพ่อว่า จริงมั้ย พ่อก็พยักหน้า
ฉันถามแม่ต่อ ว่าแม่อยากบอกอะไรพ่อมั้ย
แม่ตอบว่า อยากขอบคุณเค้า แล้วก็อยากให้เค้ามีความสุข
แล้วพ่ออยากบอกอะไรแม่มั้ย พ่อก็บอกว่า อยากขอบคุณแม่เหมือนกัน
6
ความรู้สึกขอบคุณ หรือ gratitude เป็นความรู้สึกเชิงบวกที่มีขึ้นเมื่อไหร่ ก็จะทำให้จิตใจสบายขึ้น
8
หลังจากบรรยากาศดีขึ้น พ่อสีหน้าดีขึ้น ฉันหันมาถามว่าแม่ให้อภัยแล้วเนอะ
3
แม่ก็บอกว่า ให้อภัยนานแล้ว…
1
ฉันก็หันมายิ้มกับพ่อ พ่อหลังจากได้ขอโทษ ดูคลายทุกข์ลงบ้าง
ตอนนี้แม่ให้อภัยพ่อแล้ว พ่อให้อภัยตัวเองรึยัง พ่อก็พยักหน้าเบาๆ
แล้วแม่ก็บอกว่า ตอนนี้ก็ยังมีเวลา ก็ทำดีให้แม่เยอะๆ ก็พอ
พอก็โอเค พ่อบอก ชีวิตเค้าก็มีเรื่องเดียว ที่ทำให้เสียน้ำตา คือ เรื่องที่ทำไม่ดีกับแม่ ซึ่งก็คือ การเอาแต่ใจนี่แหละ
สิ่งที่ฉันได้จากวันนั้น คือ ฉันช่วยเคลียใจ พ่อได้ทบทวนความดีที่ทำให้ครอบครัว ได้มีโอกาสขอโทษแม่ ที่สำคัญได้มีโอกาสขอบคุณกันและกันด้วย
12
ฉันออกมาจากห้องด้วยความปิติ รู้สึกอิ่มเอม ชีวิตคู่มีทะเลาะกันบ้างคงเป็นธรรมดา แต่โอกาสได้บอกคุณค่าที่อีกคนทำให้อีกคน ได้ขอบคุณ ได้ขอโทษกัน น่าจะทำให้ทั้งพ่อและแม่รู้สึกดีขึ้น
อีกอย่างหนึ่ง คือ พ่อเปิดใจ เปิดความรู้สึกกับฉันมากๆ ฉันดีใจที่พ่อไว้ใจ เปิดส่วนที่อ่อนไหวในจิตใจให้ฉันฟัง
3
อาการอ่อนเพลียเริ่มเพิ่มขึ้น พ่อเริ่มเดินเองไม่คล่อง เข้าห้องน้ำลำบากขึ้น มีวันหนึ่งพ่อไปเข้าห้องน้ำ ไม่ยอมให้ใครช่วยนอกจากแม่ แม่เกิดประคองไม่ไหว ทำให้พ่อเสียหลักล้ม หลังตรวจดู ทางกายก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ทางใจคือสิ่งที่ฉันกังวลมากๆ เพราะคนที่ช่วยเหลือตัวเองได้ดีมากๆแบบพ่อ และให้ความสำคัญกับการเข้าห้องน้ำด้วยตัวเองมากๆ เวลาช่วยเหลือตัวเองได้ลดลงมากๆแบบนี้ ฉันกลัวใจพ่อจะรับร่างกายตัวเองไม่ได้
จึงได้คุยกัน
4
วันนั้นคุยกันเรื่องร่างกายที่ให้ยาเคมีบำบัดน่าจะไม่ไหวแล้ว พ่อบอกไม่ไหวก็ไม่เป็นไร ทำใจได้
ถึงตอนนั้น มันก็คงต้องยอมแล้วเนอะ ทำอะไรไม่ได้แล้ว พ่อพร้อมมั้ย ถ้าวันนั้นมาถึง
พ่อว่าพ่อพร้อมนะ
3
เพราะอะไร พ่อถึงคิดว่าพร้อมคะ ฉันถามเพื่อความมั่นใจ
ก็ไม่รู้เหมือนกัน พ่อตอบ
ฉันก็คุยต่อ ว่าถึงเวลาวันนั้น ร่างกายจะอ่อนกำลัง ควบคุมไม่ได้ กายจะไม่ได้ดังจิตต้องการ ถ้าเราพยายามจะไปควบคุมกาย ก็จะเหมือนพยายามว่ายทวนน้ำเชี่ยว ในยามอ่อนกำลัง
ถึงตอนนั้น ให้เราค่อยๆล่อยไปตามน้ำ ประคองจิตไม่ให้จมไปกับน้ำ พ่อมั่นใจได้เลยว่าอาการทางร่างกายฉันจะคุมให้เป็นอย่างดี และในเวลานั้นมาถึง ก็ให้ยอมละจากร่างที่เสื่อมตรงนี้
พ่อนิ่งคิดตาม พร้อมพยักหน้า
5
ฉันได้โอกาสเลยถามพ่อต่อว่า แล้วที่ตอนนี้อ่อนเพลีย อ่อนแรงลงมากๆ รู้สึกยังไงบ้าง ที่คนอื่นต้องมาช่วยเราเข้าห้องน้ำ ทำกิจวัตรต่างๆ พ่อตอบว่า ไม่ชอบ อึดอัด
ฉันก็เลยว่า อันนี้อาจจะเป็นบทเรียนแรกๆ ที่ต้องฝึกปล่อย ปล่อยตัวตนที่แข็งแรงของเรา และยอมรับตัวตนที่อ่อนแอลง ถ้าไปยึดตัวตนเดิมที่แข็งแรง ก็จะเป็นทุกข์มากๆ
พ่อนึกตาม ตาโต เหมือนนึกขึ้นได้
และบอกว่า จริงด้วย ต้องฝึกเนอะ
ฉันก็พยักหน้า
5
หลังจากวันนั้น พ่อดูต่อต้านลดลง ยอมรับความช่วยเหลือมากขึ้น ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวตนของพ่อ แต่พ่อเรียนรู้ที่จะยอมรับร่างกายที่อ่อนแอลงแล้ว
พ่อเป็นตัวอย่างของคนที่เข้มแข็ง แข็งแรงมากๆ แล้วยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีมากๆ ฉันเคยคิดว่าถ้าวันนึงฉันต้องนอนให้คนช่วยดูแลทุกอย่าง ฉันคงอึดอัดมาก แต่วันนี้พ่อสอนให้ฉันเห็น ว่าพ่อปรับตัวได้แล้ว
1
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ฉันรู้ว่าแบบนี้พ่อยอมรับได้ก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าโอเค พ่อไม่ได้อยากอยู่ในร่างกายแบบนี้นานๆ
มื้อเย็นวันหนึ่ง ฉันไปดูพ่อพอดี ก็นั่งเชียรพ่อทานข้าว มีสปาเกตตี้ มีข้าวต้มปลา มีหมี่กรอบราดหน้า ของโปรด
พ่อทานทั้ง 3 อย่าง อย่างละนิดๆ ฉันก็บอกว่า สงสัยต้องไปซื้อก๋วยจั๊บตั้กม๊อ ที่ฉะเชิงเทรา ร้านโปรดของพ่อ มาให้กินละ พ่อหันมามองตาโต แบบว่า อยากกินๆ ลูกสาวเลยบอกว่า ได้นะเดี๋ยวไปจัดมาให้
3
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว วันนั้นฟ้าระเบิดสวยมาก ฉันเดินออกจากห้องพ่อมา
2
วันรุ่งขึ้น พ่อซึมลง สับสน ไข้ขึ้น
ฉันรับปากไว้แล้ว ว่าถ้าให้เคมีไม่ได้ พ่อเพลียมากขึ้น ช่วยเหลือตัวเองได้ลดลง ฉันจะไม่ยื้อใดๆ
ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ว่ามื้อสุดท้ายที่พ่อกินข้าวนั้น ฉันจะนั่งกินด้วย
แม้แต่ชีวิตตัวเอง ก็ยังไม่รู้ว่ามื้อสุดท้าย จะได้กินกับใคร
15
พ่อซึมเป็นส่วนมาก มีช่วงสับสนบ้าง อาการต่างๆควบคุมได้ด้วยยา ไม่ว่าจะเป็นอาการปวด อาการเหนื่อย หรืออาการสับสน
ฉันคุยกับครอบครัว ถึงเวลาที่เหลืออยู่ และสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น ให้กำลังครอบครัว ครอบครัวได้ให้กำลังใจกัน ลูกๆทุกคน support แม่ดีมากๆ
5
ทางรพ.ได้พาครอบครัวกราบขอขมาพ่อ ลูกๆและแม่ผลัดกันนอนกับพ่อ เปิดเพลงที่พ่อชอบให้ฟังเรื่อยๆ แม่ช่วงที่มาคุยกับพ่อ ก็ได้มีการอโหสิกรรม แม่คอยพูดนำทางพ่ออยู่เรื่อยๆ จนนาทีท้ายๆ ลูกๆอยู่รอบเตียง แม่นำทางพ่อด้วยความสงบ มีสติพร้อม มีกำลังใจดีมากๆ แม่และลูกๆอยู่ส่งพ่อออกเดินทางอย่างสวยงาม
พ่อใส่ชุดเก่ง พร้อมเสื้อกั้กและหมวกที่ใส่ในวันที่เจอกันครั้งแรก พ่อยิ้ม...ฉันไม่ได้คิดไปเอง พ่อยิ้มจริงๆ
10
เป็นอีกเคสที่ฉันคิดว่าฉันทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ และรู้สึกดีใจที่ได้รับความไว้ใจนี้จากครอบครัวจริงๆ ตอนรดน้ำพ่อ ฉันร้องไห้ ฉันคิดว่าฉันมีสิทธิที่จะร้องไห้ไม่ใช่ในฐานะแพทย์ แต่เป็นน้ำตาของความพลัดพราก ปนปิติที่ได้ทำหน้าที่นี้
18
เคสนี้พิสูจน์ว่า palliative care ตั้งแต่เริ่ทรักษามะเร็ง มันดีจริงๆ
ดีกว่ามาเจอกันตอนท้ายๆแล้วมากๆ
4
ฉันโชคดีที่ได้ดูแลพ่อ
เราโชคดีที่ได้เจอกัน
#palliativecare #koonhospital
7
วันแรกๆที่ได้รักษา
โฆษณา