28 ส.ค. 2024 เวลา 13:51 • ความคิดเห็น
เรื่องราวพวกนี้ มันเกิดทิฐิ .ตัวไม่ยอม ยอมไม่ได้ มันเป็นอารมณ์กรรมที่เรา สะสมมา..พอตากระทบรูป หูได้ยินเสียง มันก็ไหลลงไปที่ที่จิต จิตเรามันไม่รับรู้อะไร มันก็ส่งต่อเสียงคลื่นนั้น หรือที่ตากระทบ ลงไปที่ธาตุทั้งสี่ ที่เราสะสมจดจำ ..บันทึกของเก่าไว้ .พอไปกระทบลงไปที่ธาตุทั้งสี่ เค้าส่งอารมณ์ที่เราเคยใช้ ออกมาอีก .มันเป็นทิฐิ..โกรธ .ไม่ชอบให้ใครมาขัดขวาง ติเตียน .มันเกิดขึ้นที่ตัวเรา ไม่ได้ไปเกิดกับคนทีเค้า บูลลี่เรา
..คราวนี้ พอมันเกิดอารมณ์นั้นขึ้นมา มันคล้ายหัวเรือ ที่ถูกคลื่นลม หัวเรือมันมุดน้ำ พอหัวเรือมันลอยขึ้นมา มันก็ยังมีน้ำตกค้าง กักขังบ้างที่หัว บางที่เค้าก็ว่า เอาเอาหัวเรือเราไปรับน้ำโคลน น้ำทีเป็นหมาเน่าลอยมา เราเรือเรากายเรา วิญญาณหูตา ไปรับไปสัมผัสของเน่าๆมา มันก็ไม่สบายเนื้อสบายตัว ติดเนื้อติดตัว เราก็ไปหาน้ำสะอาดๆ มาล้าง ไปนั่งหน้า กราบพระ ..เหมือนไปเอาน้ำธรรมมาล้างสิ่งที่มันตกค้าง คืออารมณ์ที่ยังค้างคาใจออกไป
เรื่องอารมณ์นึกคิด นี้เราไปแก้ไขใครเค้าไม่ได้หรอก..มันเกี่ยวเนื่องด้วยนิสัยสันดาน เวรกรรมที่เค้าทำมา ..เค้าจึงต้องมีอารมณ์กรรมเยี่ยงนั้นเกิดขึ้นที่ตัวเค้า . ที่เค้าว่า กรรมใครกรรมมัน ..เราเจอ..เราก็หลบดีกว่า ไม่ประโยชน์ ปล่อยเค้าไป
.แล้วเราก็อย่าไปยึดถือ..เรื่องที่เราทำว่า จะมีใครเห็นดีเห็นงาม นิยมชมชอบ เราสำรวจอารมณ์ตัวเอง ว่าถ้าไปยึดถือ มันสุขหรือทุกข์ หากไปยึดถือ อารมณ์น้ำเน่าหมาเน่า มันจะเป็นอย่างไร .มีความสุขมั้ย แต่นั้นแหละ มันก็เป็นปัญหา..ไม่ใช่ว่าแค่ เราก็ต้องมีการประพฤติปฏิบัติ สร้างบุญกุศล ให่จิตเรามีกำลัง เอาน้ำดีไปไล่น้ำเสียออกไป .เหมือนที่เราไปกระทบเสียดน้ำโคลนหมาเน่าซากศพที่ลอยมา .
ปล..อย่าเอาสิ่งที่เราบอก ไปต่อล้อต่อเถียง มันจะกระพือให้ไฟมันร้อนมากขึ้น ..นั่นเป็นเรื่องของเหตุผล ที่เราจะต้องพิจารณาอารมณ์กรรม ที่มันเกิดขึ้นที่ตัวเรา ต้องค่อยทบทวน รู้จักอารมณ์ที่ตัวเราเอง ..มันเกิดที่ตัวเรา เราก็หยุดอารมณ์นั้นเสีย ..ไม่ทำตามอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น มันอาจจะรู้สึกสับสน มึนๆหัวบ้าง
..ในการที่จะสลัดหยุดยั้งอารมณ์ เราก็ทนสักหน่อย ..นึกถึงพระไว้ หายใจเข้าออกลึกๆ กั้นลมหายใจ หยุดนิ่ง ..แล้วเป่าลมออกแรง ดึงสติดึงจิตขึ้นมา .รับรู้ลมหายใจที่เข้าออก ..เอาจิตไปอยู่กับพระให้ได้ บางทีเราก็ท่องคำว่าพุทโธ ขึ้นมา เพื่อให้จิตอยู่กับพระ ไม่ไปตามอารมณ์
โฆษณา