29 ส.ค. 2024 เวลา 00:09 • ธุรกิจ

จาก ‘0’ สู่จักรวรรดิ ‘Visa’ : ตำนานการถือกำเนิดบัตรเครดิตที่เปลี่ยนโลกการเงินไปตลอดกาล

ในโลกของการเงินและการชำระเงิน มีบริษัทหนึ่งที่ยืนเหนือคู่แข่งแทบจะทั้งหมด นั่นก็คือ Visa บริษัทที่กำหนดการไหลเวียนของเงินทั่วโลกมาเกือบ 8 ทศวรรษ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่แทบไม่มีคู่แข่ง มาถึงวันนี้ Visa ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมการเงินไปอย่างสิ้นเชิง
3
ในอดีต ผู้นำในวงการการเงินมักเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่มีงบดุลเป็นล้านล้านดอลลาร์ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ Visa ซึ่งเป็นเพียงบริษัทประมวลผลการชำระเงิน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทบริการทางการเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก โดยในปี 2023 Visa ประมวลผลปริมาณธุรกรรมรวมมูลค่ามหาศาลถึง 14.8 ล้านล้านดอลลาร์
3
แต่ Visa ไม่ได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้โดยบังเอิญ เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้คือเรื่องราวอันน่าทึ่งของการต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ รวมถึงการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรม และวิสัยทัศน์อันกล้าหาญของผู้นำที่มองการณ์ไกล
Visa สามารถก้าวขึ้นเป็นราชาแห่งบัตรเครดิตได้สำเร็จด้วยการกำจัดคู่แข่งอย่างไร้ความปรานี แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
2
จุดเริ่มต้นของ Visa ย้อนกลับไปในปี 1928 เมื่อ Amadeo Giannini นายธนาคารผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา สามารถทำให้ธนาคารของเขา Bank of America บรรลุเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้ด้วยการมีสินทรัพย์มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์
ในขณะที่ฝั่งตะวันออกมีธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JP Morgan, Citibank และ Chase Bank ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ในฝั่งตะวันตก Bank of America กลับเป็นกำลังหลักในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการอพยพของประชากรจำนวนมากเข้าสู่แคลิฟอร์เนีย
2
Giannini เป็นบุคคลที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เขาเกิดในครอบครัวผู้อพยพชาวอิตาเลียนและสามารถสร้างอาชีพที่ประสบความสำเร็จในฐานะพ่อค้าขายของชำ แต่เขารู้ดีว่าความสำเร็จของเขาจะไม่มีความหมายเลยหากเขาไม่สามารถช่วยเหลือคนในชุมชนของเขาเองได้ นั่นคือผู้อพยพชาวอิตาเลียนด้วยกัน
1
ความพิเศษของ Giannini คือความสามารถในการเข้าใจว่าผู้อพยพชาวอิตาเลียนถูกเลือกปฏิบัติและดูถูกอย่างไร ดังนั้นเขาจึงยืนหยัดเคียงข้างพวกเขาเพื่อพัฒนาทั้งชุมชนอิตาเลียน-อเมริกันและทั้งรัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นหนึ่งในนายธนาคารคนแรกๆ ที่กล้าปล่อยกู้ให้กับชนชั้นกลางและกลุ่มผู้อพยพ
2
ไม่นานนัก Giannini ก็ตระหนักถึงความจริงที่สำคัญ การเปิดธนาคารของตัวเองจะช่วยให้เขาสามารถปล่อยกู้ให้กับคนในชุมชนได้มากขึ้นและสร้างผลกระทบได้มากขึ้น
1
Amadeo Giannini ที่ก่อตั้งธนาคารเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้อพยพ (CR:Wikipedia)
ในปี 1904 เขาจึงตัดสินใจก่อตั้ง Bank of Italy ในซานฟรานซิสโก การทำงานหนักและความเอื้อเฟื้อของเขาต่อชนชั้นแรงงานกลายเป็นรากฐานของความสำเร็จที่กำลังเติบโตของเขา ธนาคารของเขาเป็นธนาคารที่แตกต่างจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเอื้อเฟื้อแบบสมบูรณ์
1
แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือวิสัยทัศน์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นจากการติดต่อใกล้ชิดกับคนธรรมดาสามัญ Giannini คว้าโอกาสที่สมบูรณ์แบบในขณะที่แคลิฟอร์เนียก้าวเข้าสู่ยุคการเติบโตในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
2
ในขณะที่เศรษฐกิจของแคลิฟอร์เนียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ธนาคารของ Giannini ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 ธนาคารของเขามีสินทรัพย์มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และผ่านการควบรวมกิจการหลายครั้ง จนได้ชื่อใหม่ว่า Bank of America
1
ตั้งแต่แรกเริ่ม Giannini มีวิสัยทัศน์เฉพาะตัว เขาต้องการให้ Bank of America กลายเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตทางการเงินที่นำเสนอบริการทุกประเภทให้กับมวลชน นั่นหมายถึงไม่เพียงแค่บริการธนาคารแบบดั้งเดิมอย่างบัญชีออมทรัพย์และบัญชีกระแสรายวันเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ด้านอื่นๆ เช่น การปล่อยสินเชื่อจำนอง สินเชื่อรถยนต์ ประกันภัย และบริการด้านการลงทุน
ด้วยการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้บริโภคชนชั้นกลางที่กำลังเติบโต ธุรกิจของธนาคารก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด ในทศวรรษถัดมา สินทรัพย์ของ Bank of America พุ่งสูงขึ้นเป็นกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ และก้าวขึ้นมาเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก
2
ในปี 1954 S. Clark Beise ได้รับเลือกให้เป็นประธานของ Bank of America ซึ่ง Beise เคยเป็นผู้จัดการที่ทุ่มเทให้กับงานมาโดยตลอด ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับ Giannini เพื่อสร้างอาณาจักร Bank of America โดยในช่วงกลางทศวรรษ 1950 ธนาคารแห่งนี้เป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ขยายบริการและสาขาไปทั่วประเทศ
ในฐานะผู้นำของ Bank of America ต้องเรียกได้ว่า Beise เป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้าและมองการณ์ไกล สำหรับ Beise เงาของผู้นำคนก่อนๆ โดยเฉพาะ Giannini ยังคงทอดยาวและเขามุ่งมั่นที่จะสร้างมรดกของตัวเองให้ได้
ด้วยความรู้ด้านเทคโนโลยี Beise เริ่มสำรวจความเป็นไปได้ของธุรกิจรูปแบบใหม่ ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง
1
ทศวรรษ 1950 ในสหรัฐอเมริกาเป็นทศวรรษแห่งความรุ่งเรืองหลังสงคราม เป็นช่วงเวลาที่ชนชั้นกลางเฟื่องฟู มีรายได้สูงขึ้นและกำลังซื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าแรงที่สูงขึ้นและการจ้างงานที่แพร่หลาย ลัทธิบริโภคนิยมกำลังเฟื่องฟู โดยได้แรงหนุนจากตลาดที่อยู่อาศัยที่กำลังเติบโตและการมีสินค้าอุปโภคบริโภคใหม่ๆ อย่างรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนอย่างแพร่หลาย
2
ในช่วงเวลานี้ เราเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากของสินเชื่อผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่าลูกค้าสามารถซื้อสินค้าและบริการโดยไม่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ปั๊มน้ำมันแนะนำบัตรน้ำมัน ช่วยให้ลูกค้าสามารถเติมน้ำมันด้วยเครดิตได้ และสายการบินก็เสนอบัตรของตนเองเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางด้วยเครดิต แม้กระทั่งร้านค้าทั่วไปอย่าง Sears ก็ออกบัตรเหล่านี้เพื่อการซื้อสินค้าในร้านค้าปลีกของตน บัตรเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าด้วยเครดิตได้
2
ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ Bank of America Beise มีเป้าหมายที่จะสร้างธุรกิจใหม่ให้กับธนาคาร และหนึ่งในผู้จัดการของเขาก็มีแผนที่จะทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง
Joseph Williams เกิดที่ Newark รัฐ New Jersey เข้าเรียนที่ University of Pennsylvania และรับใช้ชาติเป็นนายทหารในกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงคราม Williams มองหาอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต และในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นพนักงานของ Bank of America
1
Williams เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างบัตรอเนกประสงค์เพียงใบเดียวเพื่อทดแทนบัตรทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งจะทำให้คุณค่าของบัตรใบเดียวนี้เองสามารถแทนที่รูปแบบเครดิตอื่นๆ ทั้งหมดได้ในทันที
1
เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้จัดการระดับกลางที่กำลังเติบโต ก่อนการแนะนำให้โลกรู้จักกับบัตรเครดิต การขอสินเชื่อส่วนบุคคลจำเป็นต้องมีการพบกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานมาก
แต่ Williams มีแนวคิดที่ท้าทายกรอบความคิดเดิม ๆ เขามองว่าควรที่จะมีบัตรพิเศษที่มีวงเงินเครดิต 300 ดอลลาร์ และแจกฟรีให้กับลูกค้าทุกคนของ Bank of America
แนวคิดเรื่องระยะเวลาผ่อนผัน 1 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกค้าสามารถชำระยอดคงค้างโดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย เกิดขึ้นจากการวิจัยของ Williams เช่นเดียวกับแนวคิดการคิดดอกเบี้ย 18% ต่อปีสำหรับเงินกู้บัตรเครดิต
1
ตัวเลขนี้ดูเหมือนจะถูกกำหนดไว้ถาวรมาจวบจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ จะมีความผันผวนอย่างรุนแรงก็ตาม หากรูปแบบบัตรเครดิตนี้ใช้ได้ผล Bank of America จะสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยสูง และมีศักยภาพที่จะกลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้สูงมาก
1
ในเดือนกันยายน 1958 Bank of America เริ่มสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “Fresno Drop” เป็นแคมเปญการส่งจดหมายขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่บ้าคลั่งที่สุดในวงการธนาคาร
1
พวกเขาเลือกเมืองในแคลิฟอร์เนียชื่อ Fresno ซึ่งมีประชากร 250,000 คน และมอบบัตรเครดิตที่เรียกว่า “BankAmericard” ให้กับแต่ละคน บัตรเครดิต Bank of America ประมาณ 60,000 ใบถูกส่งไปยังเกือบทุกครัวเรือนในเมืองโดยไม่มีการร้องขอ
2
“Fresno Drop” เป็นแคมเปญการส่งจดหมายขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน (CR:a16z)
การเคลื่อนไหวที่ปฏิวัติวงการครั้งนี้ทาง Bank of America ให้วงเงินสินเชื่อโดยไม่มีการสมัครหรือการอนุมัติล่วงหน้าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การธนาคาร บัตรนี้มาพร้อมกับวงเงิน 300 ดอลลาร์ ระยะเวลาผ่อนผัน 1 เดือน และอัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี เป็นบัตรสำหรับทุกความต้องการ สามารถใช้ซื้อสินค้าได้หลากหลายจากร้านค้าหลายแห่ง
2
Williams และทีมของเขาเห็นว่าบัตรเครดิตสามารถใช้ได้สองวิธี มันสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ที่ให้ความสะดวกสบาย เหมือนบัตร Diners Club หรือใช้เป็นอุปกรณ์ที่สร้างเงินกู้ส่วนบุคคลได้ทันที
1
เมื่อบัตรเครดิตปรากฏขึ้นมาเหมือนเสกมาจากอากาศ ลูกค้าก็กระตือรือร้นที่จะใช้จ่ายสิ่งที่ดูเหมือนเป็นเงินฟรีนี้ ในช่วงสัปดาห์แรก โครงการดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ Bank of America รีบแจกบัตรเครดิตเพิ่มเติมไปยังเมืองอื่นๆ ในแคลิฟอร์เนีย โดยมีเป้าหมายที่จะครองตลาดก่อนที่คู่แข่งจะตามทัน
2
โดยก่อนเปิดตัวบัตรเครดิตของ Bank of America ลูกค้าทั่วไปของธนาคารจะมีอัตราการผิดนัดชำระหนี้ประมาณ 4% ซึ่ง Williams ใช้ตัวเลขนี้เป็นสมมติฐานสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตใหม่
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คืออัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่แท้จริงพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 20% โดยมีลูกค้าเกือบหนึ่งในห้าคนที่ไม่สามารถชำระคืนเงินกู้บัตรเครดิตภายในสิ้นเดือน ลูกค้าและร้านค้าเรียนรู้อย่างรวดเร็วที่จะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ระบบ โดยการปลอมลายเซ็นและรายงานธุรกรรมปลอม
3
ในช่วงเวลาสั้นๆ Bank of America พบว่าตัวเองกำลังสูญเสียเงิน 8.8 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากโขสำหรับธนาคารใดๆ ในช่วงปลายทศวรรษ 1950
1
ผลที่ตามมาคือ Joseph Williams ถูกไล่ออก Williams เป็นตัวละครที่น่าเศร้า เขามีแนวคิดที่ถูกต้อง แต่การดำเนินการจริงกลับไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เขาคิด
1
การเปิดตัวครั้งแรกของบัตรเครดิต Bank of America คือความหายนะ เพื่อชดเชยความสูญเสีย ธนาคารเริ่มเรียกคืนบัตรจากลูกค้าที่ผิดนัดชำระหนี้และจ้างบริษัทติดตามทวงหนี้เพื่อติดตามหนี้สินและดอกเบี้ยค้างชำระ
4
แม้ว่าการตลาดแบบ Fresno drop จะล้มเหลว แต่ก็พิสูจน์ทฤษฎีที่น่าสนใจโดยไม่ตั้งใจว่าคนส่วนใหญ่ต้องการบัตรเครดิต หนึ่งปีหลังจากเปิดตัว BankAmericard ค่อยๆ เริ่มชดเชยความสูญเสีย กลายเป็นกิจการที่ทำกำไร แต่ไม่นานธนาคารก็ค้นพบวิธีปฏิวัติใหม่ในการทำเงินจากบัตรเครดิต
2
ในช่วงกลางทศวรรษ 1960 BankAmericard ยังคงสร้างกำไรอย่างต่อเนื่อง มันเริ่มดึงดูดความสนใจจากธนาคารอื่นๆ สำหรับคู่แข่งหลายรายพวกเขาตระหนักว่าพวกเขามาช้าเกินไปเพราะไม่มีทรัพยากรในการสร้างระบบการออกบัตรเครดิตและการประมวลผลการชำระเงินของตนเอง
1
และหลังจากการเกษียณของ S. Clark Beise ชายคนใหม่ที่เข้ามาบริหารธนาคารอย่าง Rudolph A. Peterson มุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เขาเห็นโอกาสนี้อย่างรวดเร็วว่ามันจะกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่
Peterson ตระหนักว่า Bank of America สามารถให้ธนาคารอื่นๆ ออกบัตรเครดิตของตนเองได้ โดยอนุญาตให้พวกเขาใช้โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นอย่างดีของ Bank of America โดยเสียค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งการให้ใบอนุญาตหมายถึงการให้ธนาคารอื่นๆ ใช้ระบบของ BankAmericard โดยไม่ต้องลงทุนเพื่อสร้างระบบของตนเอง
1
ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 Bank of America เริ่มอนุญาตให้ธนาคารอื่นๆ ออกบัตรภายใต้โปรแกรม BankAmericard นั่นหมายความว่าธนาคารเหล่านี้สามารถออกบัตรเครดิตโดยใช้ชื่อ BankAmericard และที่สำคัญกว่านั้นคือให้ Bank of America จัดการธุรกรรม ในขณะที่ธนาคารเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การให้สินเชื่อ
2
รูปแบบการให้ใบอนุญาตนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ภายในไม่กี่ปี BankAmericard พัฒนาเป็นหนึ่งในกิจการที่ทำกำไรมากที่สุดในอุตสาหกรรม แต่เมื่อมีธนาคารมากขึ้นที่นำมาใช้และออกเครดิตโดยใช้ BankAmericard ปัญหาอีกรูปแบบหนึ่งก็เริ่มปรากฏขึ้น
2
หลังจากการเปิดตัวและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วของ BankAmericard อาชญากรก็เห็นโอกาสบางอย่าง แทนที่จะปล้นธนาคารโดยตรง อาชญากรได้บุกเข้าไปในคลังสินค้าและขโมยบัตร BankAmericards ที่ยังไม่ได้ส่งให้ลูกค้า
2
ในเวลานั้น โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการติดตามและยกเลิกบัตรแต่ละใบยังไม่มีประสิทธิภาพเหมือนในปัจจุบัน บัตรที่ถูกขโมยไปยังไม่ได้ปั๊มนูน หมายความว่ายังไม่ได้กำหนดให้กับผู้ถือบัญชีใดโดยเฉพาะ
1
อาชญากรเหล่านี้พยายามขายบัตรที่ขโมยมาคืนให้กับธนาคาร ทำให้ธนาคารตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก การโจรกรรมบัตรเครดิตเป็นอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ธนาคารกลัวว่าการใช้บัตรเครดิตที่ถูกขโมยโดยไม่ได้รับอนุญาตจะทำให้พวกเขาเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการจ่ายค่าไถ่ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจซื้อบัตรคืนจากอาชญากรเพื่อป้องกันการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง
1
อย่างไรก็ตาม การฉ้อโกงเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหามากมายที่ BankAmericard และธนาคารพันธมิตรกำลังเผชิญ เนื่องจากธุรกรรมบัตรเครดิตส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับธนาคารสองแห่งแยกจากกัน
2
ในทุกธุรกรรม ธนาคารของร้านค้าจะชำระเงินคืนให้กับร้านค้าสำหรับการจ่ายด้วยบัตรเครดิตทุกรายการ จากนั้นธนาคารของร้านค้าจะส่งใบบันทึกการขายไปยังธนาคารสมาชิกทั่วประเทศที่ลูกค้าของพวกเขาทำการซื้อ
1
ธนาคารของลูกค้าจะชำระเงินคืนให้กับธนาคารของร้านค้า โดยหักส่วนแบ่งเล็กน้อยจากธุรกรรมไว้เอง นั่นคือค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยน สุดท้ายธนาคารของลูกค้าจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้าสำหรับรายการนั้น เมื่อลูกค้าชำระเงิน ธุรกรรมก็เสร็จสมบูรณ์
2
ในขณะที่ธุรกรรมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบก็ใกล้จะถึงจุดแตกหักที่สำคัญ หาก Bank of America card ไม่สามารถหาวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขยายขนาดได้ ธุรกิจทั้งหมดอาจพังทลายลง
4
เพื่อแก้ไขวิกฤตนี้ ชายคนหนึ่งจากสถานที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้ก้าวออกมาพร้อมกับวิธีแก้ปัญหาที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างสิ้นเชิง
ต้องบอกว่าชายที่มีความสามารถมากที่สุดในการแก้ปัญหาของ BankAmericard มาจากต้นกำเนิดที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ นั่นคือ Utah รัฐมอร์มอนของอเมริกา
Dee Hock เติบโตในฟาร์ม วัยเด็กของเขาเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและความรักในธรรมชาติ ในฐานะชาวมอร์มอน Dee Hock พัฒนานิสัยการตื่นเช้าและทำงานหนักตลอดชีวิต แต่เขาก็เริ่มต่อต้านความเชื่อและโรงเรียนของเขาอย่างรวดเร็ว
Hock เล่าถึงประสบการณ์ในวัยเด็กของเขาว่า “ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนั้น พ่อของผมตัวสูงมากและให้ความสำคัญกับร่างกาย ส่วนผมค่อนข้างเก็บตัวและชอบอยู่คนเดียว เดินเล่นในทุ่งนอกบ้าน ผมไม่สนิทกับพ่อ เราขัดแย้งกันตลอดเวลา เขาเป็นพวกที่บอกว่ามีเพียงวิธีเดียว วิธีที่ถูกต้องเพียงวิธีเดียวในการทำทุกอย่าง และแน่นอนว่านั่นคือวิธีของเขา และผมก็เกลียดเขาเสมอ”
3
Hock มักจะมีปัญหากับพ่ออยู่ตลอด เกลียดการเข้าเรียนและชอบความโดดเดี่ยวของธรรมชาติและการศึกษาด้วยตนเองมากกว่า Dee Hock ไม่ชอบการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เลย เขาเป็นคนประเภทที่จะเปลี่ยนโลกรอบตัวแทนที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ผลที่ตามมาคือ หลังจบการศึกษา Dee Hock ต้องทำงานอย่างยากลำบาก แม้เขาจะเป็นคนที่มีผลงานดี แต่ Dee Hock ก็เกลียดโครงสร้างของสำนักงานและมักจะขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา ซึ่งนำไปสู่การถูกไล่ออกในที่สุด
1
ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ด้วยภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ Hock เผชิญกับความเป็นจริงที่น่าอับอายที่ต้องไปขอรับเงินช่วยเหลือการว่างงานจากรัฐบาล
Hock เล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ว่า “ผมไม่มีเงินในธนาคาร ไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว มีแค่ภรรยา Pearl กับผม และลูกสองคนกับอีกคนที่กำลังคลอด ผมตกงานและไม่รู้จะทำอะไร ผมกำลังซึมเศร้า สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับเราคือ เราไม่มีรายได้และผมมีคนสามคนที่ต้องเลี้ยงดู ผมควรไปขอรับเงินช่วยเหลือคนว่างงาน
3
ดังนั้นผมจึงขับรถไปที่สำนักงานจัดหางาน ฝั่งตรงข้ามมีคนต่อแถวรอเข้าไปเพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย และผมก็ไม่สามารถลงจากรถได้ ผมนั่งอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง พยายามโน้มน้าวตัวเองว่าผมมีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือคนว่างงาน แต่ผมก็ทำไม่ได้”
Hock ตัดสินใจว่าเขาจะทำทุกอย่างเท่าที่จำเป็นเพื่อให้ประสบความสำเร็จและไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีก ในที่สุดเขาก็ได้งานเป็นผู้ช่วยที่ National Bank of Commerce
การทำงานในครั้งครั้งนี้เขามีเป้าหมายหลักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว เขาเต็มใจที่จะทำงานทุกอย่างที่จำเป็น ไม่นานเขาก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานที่ขัดกับความเชื่อของเขาอีกครั้ง นั่นคือการช่วยเปิดตัวธุรกิจบัตรเครดิตสำหรับธนาคารของเขา
2
Hock เป็นคนประหยัดมาก และเขาไม่ชอบแนวคิดเรื่องบัตรเครดิตเลย แต่ Hock ทุ่มเทให้กับงานนี้ มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุด
1
ภายในปี 1967 หลังจากได้รับใบอนุญาตจาก Bank of America National ทาง Bank of Commerce ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโปรแกรมบัตรเครดิตของตน ธุรกิจเติบโตทันทีและ Hock ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบัตรเครดิต
ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 อุตสาหกรรมบัตรเครดิตเติบโตแบบพุ่งกระฉูด ขับเคลื่อนด้วยความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของอเมริกา ในฐานะผู้บุกเบิก BankAmericard ของ Bank of America กลายเป็นบัตรเครดิตชั้นนำ แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ข้อบกพร่องในระบบก็ปรากฏชัดขึ้น
3
ในขณะที่ Bank of America สามารถลดการฉ้อโกงได้ ระบบการให้ใบอนุญาตทำให้การป้องกันการฉ้อโกงยากขึ้นเรื่อยๆ
ในทศวรรษ 1960 โปรแกรม BankAmericard ของ Bank of America อนุญาตให้ธนาคารต่างๆ แจกจ่ายบัตรของตนได้ด้วยตัวเอง สิ่งนี้ก่อให้เกิดปัญหามากมายเกี่ยวกับการโจรกรรมบัตรเครดิต ซึ่งในสมัยนั้นเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าพอที่จะตรวจจับการฉ้อโกงในวงกว้างได้ ดังนั้นจึงทำให้ยากมากที่จะจัดการกับปัญหาการฉ้อโกงที่เกิดขึ้นทุกที่
หาก BankAmericard ไม่แก้ไขปัญหานี้ คู่แข่งอาจใช้ประโยชน์จากมันด้วยระบบที่ดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้น Bank of America ต้องการใครสักคนที่จะออกแบบระบบที่รับประกันว่าบัตรเครดิตของพวกเขาจะยังคงครองความเป็นผู้นำต่อไป
1
และในฐานะผู้ได้รับใบอนุญาตจาก Bank of America National ทาง Bank of Commerce ก็จะได้รับประโยชน์หากสามารถแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ
1
ในตอนนั้น Hock เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบัตรเครดิต และเขาก็เสนอทันทีให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยธนาคารสมาชิกทั้งหมดเพื่อแก้ไขปัญหาการฉ้อโกงอย่างเด็ดขาด จากนั้นเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการเพื่อมาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการ Hock มีภารกิจในการออกแบบระบบที่จะปฏิวัติวงการ เป็นโอกาสที่ Hock จะได้ทำสิ่งต่างๆ ในแบบของเขาในที่สุด เขาเริ่มต้นด้วยการไตร่ตรองถึงวัยเด็กของตัวเองและบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากธรรมชาติ
Hock เล่าว่า “ผมเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ ซึ่งในธรรมชาติดูเหมือนไม่เคยมีปัญหาเหล่านี้ สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในธรรมชาติจะประกอบไปด้วยการแข่งขันและความร่วมมือ ทั้งสองสิ่งนี้ดูเหมือนจะผสมผสานและอยู่ร่วมกันตลอดเวลาได้อย่างลงตัว ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ เมื่อคุณย้ายผู้คนเข้าไปในองค์กรไม่ว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน ความแตกแยกก็เริ่มขึ้น มันเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง มันเป็นความจริงหรือเป็นเท็จ มันถูกหรือผิด มันดีหรือเลว”
3
แนวคิดของ Hock นั้นลึกซึ้ง เขามองเห็นระบบที่จัดการตัวเอง ทำงานด้วยตัวเอง และปกครองตัวเองแบบกระจายอำนาจ เขากำลังมองเห็นระบบเครือข่ายแบบกระจายอำนาจที่ไม่มีตัวกลางควบคุม เป็นเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ และแต่ละโหนดต้องตกลงที่จะปฏิบัติตามชุดของหลักการและอัลกอริทึม และโดยรวมแล้วระบบจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
2
เพื่อปลดปล่อยพลังของการออกแบบของเขาอย่างเต็มที่ Hock เสนอให้จัดตั้งองค์กรใหม่ที่เป็นอิสระจาก Bank of America เขาเรียกมันว่า National Bank AmeriCard Inc. (NBI) เพราะเครือข่ายบัตรเครดิตเป็นเพียงระบบการชำระเงิน ธนาคารต่างหากที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิต ดังนั้น NBI จึงเป็นเครือข่ายการชำระเงินที่ตัวเองไม่ได้ปล่อยกู้ใดๆ
1
แม้ว่าแนวคิดของเขาจะเป็นนวัตกรรม แต่ Hock ยังไม่แน่ใจว่าธนาคารสมาชิกอื่นๆ จะเข้าร่วมหรือไม่ โดยเฉพาะพันธมิตรรายใหญ่ที่สุดของเขา นั่นคือ Bank of America
Hock เล่าว่า “มันยากในตอนแรก คนเหล่านี้กำลังถูกขอให้เอาชื่อเสียงของพวกเขาเป็นเดิมพัน และเข้าร่วมทำบางสิ่งที่พวกเขาไม่คุ้นเคยเลย ผมเข้าใจความลังเลของพวกเขา”
ด้วยการสนับสนุนของ Bank of America Dee Hock ได้เป็นประธานขององค์กรใหม่นี้ แต่สิ่งที่ Hock ไม่รู้คือ Bank of America กำลังทำงานลับๆ กับ American Express เพื่อสร้างระบบใหม่ ซึ่งอาจบ่อนทำลายความพยายามทั้งหมดของเขา
สำหรับ Hock เพื่อให้ระบบของ Bank of America ประสบความสำเร็จ เขาต้องทำให้แน่ใจว่าเครือข่ายการชำระเงินมีความปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในยุคดิจิทัลภัยคุกคามด้านความเป็นส่วนตัวมีอยู่ตลอดเวลาเมื่อชีวิตของเรามีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมากขึ้นเรื่อยๆ
2
เนื่องจากกลัวว่าระบบแบบกระจายอำนาจที่ Hock เสนออาจล้มเหลว Bank of America จึงร่วมมือกับ American Express อย่างลับๆ เพื่อสร้างระบบอนุมัติบัตรเครดิตทั่วประเทศที่ควบคุมโดยพวกเขาเพียงผู้เดียว
1
หาก Bank of America และ American Express ประสบความสำเร็จกับระบบใหม่ของพวกเขา มันอาจทำให้ความพยายามของ Hock สูญเปล่า เป็นเหมือนการสร้างทางด่วนสองเส้นที่แข่งขันกัน มันไม่ดีต่อสังคมและเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ
1
Hock เล่าถึงความรู้สึกของเขาในช่วงเวลานั้นว่า “ผมรู้สึกถูกทรยศอย่างสิ้นเชิง มันขัดกับเจตนารมณ์ของความพยายามในการก่อตั้ง NBI และอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสำเร็จของมัน Bank of America ตกลงที่จะเข้าร่วมองค์กรใหม่ที่ผมออกแบบ แต่ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังทำงานกับ American Express เพื่อบ่อนทำลายความพยายามของผม”
1
เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายนี้ Hock และคณะกรรมการ NBI ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ พวกเขาตัดสินใจแยกตัวออกจากความพยายามของทั้งอุตสาหกรรมและสร้างระบบแข่งขันที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองสำหรับการอนุมัติทางอิเล็กทรอนิกส์และการชำระเงิน ที่รู้จักกันในชื่อ Bank Authorization System Experimental Base 1 เพื่อตรวจสอบว่าบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรมีเงินเพียงพอและได้รับการอนุมัติให้ซื้อจากร้านค้าหรือไม่
2
Dee Hock ได้ออกแบบระบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการ (CR:Visa)
แต่สิ่งที่ Hock ไม่ตระหนักคือภัยคุกคามที่แท้จริงไม่ใช่ American Express ระบบเครดิตใหม่กำลังเติบโตขึ้น และมันกำลังพุ่งเข้าหาธุรกิจของเขา
ช่วงกลางทศวรรษ 1970 มีความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งมีสัญญาณบ่งชี้ด้วยวิกฤตน้ำมัน เงินเฟ้อสูง และภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน ในช่วงเวลานี้นโยบายการเงินพยายามหาสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
1
แต่ท่ามกลางความยากลำบากเหล่านี้ อุตสาหกรรมบัตรเครดิตกลับเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ยุคนี้เป็นรากฐานสำหรับการยอมรับบัตรเครดิตอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นการกำหนดรูปแบบการเงินผู้บริโภคและแนวปฏิบัติด้านการธนาคารสมัยใหม่
1
การแนะนำ Base 1 ปฏิวัติการประมวลผลธุรกรรม ผลักดันให้ NBI ก้าวขึ้นสู่แนวหน้าของอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชายชื่อ Dee Hock โมเดลธุรกิจนี้เป็นเหมือนเครื่องพิมพ์เงินจริงๆ
1
เพราะโมเดลดังกล่าวนี้มันสร้างรายได้ทุกครั้งที่มีคนใช้เครือข่ายในการชำระเงิน ยิ่งมีคนและร้านค้าใช้มากขึ้นก็ยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบของเครือข่าย (Network Effect) และนอกจากนั้นมันยังสเกลได้ง่ายมากเพราะสามารถรองรับการชำระเงินที่มากขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
2
แต่ความสำเร็จก่อให้เกิดการแข่งขัน และคู่แข่งก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมที่จะมาท้าทายความสำเร็จทั้งหมดของ Hock โดยเมื่อเห็นความสำเร็จของ NBI ธนาคารอื่นๆ ในอุตสาหกรรมก็เริ่มตระหนักถึงศักยภาพของการก่อตั้งเครือข่ายบัตรเครดิตของตนเอง
Master Charge ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ MasterCard เกิดขึ้นจากความร่วมมือของสมาคมบัตรธนาคารระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างการแข่งขันที่เป็นเอกภาพในตลาดบัตรเครดิตที่กำลังเติบโต เพื่อท้าทายความเป็นผู้นำของ Bank AmeriCard โดย Master Charge โฟกัสไปที่การขยายเครือข่ายและเพิ่มการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ
1
หาก Master Charge ได้รับแรงผลักดันมากพอ มันมีศักยภาพที่จะแซงหน้า Bank AmeriCard ในฐานะระบบการชำระเงินด้วยบัตรชั้นนำได้อย่างสมบูรณ์
1
ด้วยความสิ้นหวังที่จะปกป้องสิ่งที่เขาสร้างขึ้น Hock ตัดสินใจอย่างยากลำบาก เขาออกนโยบายห้ามธนาคารสมาชิกของเขาไปใช้บริการคู่แข่งอย่าง Master Charge เขาหวังว่าข้อบังคับนี้จะป้องกันไม่ให้ธนาคารสมาชิกของเขาไปใช้งานบริการของ Master Charge แต่เขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
2
Worthen Bank of Little Rock รัฐ Arkansas เป็นสมาชิกรายเล็ก ๆ ของ NBI ในช่วงปลายปี 1971 คณะกรรมการ Worthen Bank ได้นำข้อบังคับในการห้ามใช้ Master Charge มาเป็นประเด็นในการต่อสู้เรื่องการผูกขาด
Worthen Bank รีบฟ้องร้องทันที โดยกล่าวหาว่า NBI ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดและขออำนาจศษลสั่งห้ามการบังคับใช้ที่ NBI สั่งไม่ให้พวกเขาใช้บริการของคู่แข่ง และในท้ายที่สุด Worthen Bank ก็ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของ Master Charge
4
Hock เล่าถึงเหตุการณ์นั้นว่า “ผมบินไป Little Rock เพื่อพบกับประธานและเจ้าหน้าที่อาวุโสคนอื่นๆ ของ Worthen Bank ในความพยายามที่จะโน้มน้าวพวกเขา แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถตกลงกันได้ Worthen Bank รีบฟ้องร้องทันที โดยกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด”
1
สถานการณ์ก็เริ่มแย่ลงไปอีก การตัดสินใจของ Hock ที่จะห้ามธนาคารสมาชิกของเขาใช้ Master Charge มีผลที่ไม่คาดคิด มันกลายเป็นเรื่องส่วนตัว
ในระหว่างการฟ้องร้องของ Worthen Bank ตัวของ Hock ยังเผชิญกับการคุกคามส่วนตัวมากมาย เขาได้รับข้อความที่ไม่เหมาะสมมากมาย แม้กระทั่งพบเครื่องหมายกากบาทถูกกรีดบนเก้าอี้สำนักงานของเขา และเขาได้รับพัสดุที่ถูกข่มขู่เอาชีวิตเขา
Hock เล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ว่า “ทุกวันผมต้องลุกขึ้นมาและจัดการกับปัญหามากมาย ธุรกิจต้องดำเนินต่อไป และความรับผิดชอบไม่สามารถผลักไสออกไปได้ ผมเริ่มจมดิ่งสู่ภาวะซึมเศร้าที่ทำลายความสามารถในการคิดหรือทำหน้าที่ตามปกติของผม”
1
ในที่สุด Worthen Bank ชนะคดี และ Dee Hock ถูกบังคับให้ยกเลิกนโยบายห้ามใช้บริการของคู่แข่ง ทำให้ธนาคารสมาชิกของเขาสามารถออกทั้งบัตร Bank AmeriCard และ Master Charge ได้อย่างอิสระ แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย แต่ NBI กำลังจะเข้าสู่หนึ่งในช่วงการเติบโตสูงสุดในประวัติศาสตร์
แม้ว่าทศวรรษ 1970 จะเป็นทศวรรษที่ยุ่งยากสำหรับสหรัฐอเมริกา แต่การเดินทางและการค้าระหว่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับประเทศอื่นๆ ในโลก นำไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วสำหรับการใช้บัตรเครดิต
1
ด้วยการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจไร้เงินสดและความต้องการความสะดวกสบายของผู้บริโภค Bank AmeriCard ได้กลายเป็นระบบการชำระเงินชั้นนำระดับโลก
1
แต่ Dee Hock ตระหนักว่าเพื่อที่จะทำให้ธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัทง่ายขึ้นไปอีก จำเป็นต้องมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและทรงพลัง ในช่วงกลางทศวรรษ 1970 บริษัทของเขาตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจาก Bank AmeriCard เป็น Visa Bank
1
AmeriCard กำลังจะสูญพันธุ์ อย่างน้อยก็ในแง่ของชื่อ โดยเริ่มตั้งแต่ปีถัดไปชื่อของบัตรเครดิตนี้จะถูกเปลี่ยนไปทั่วโลกเป็น Visa ซึ่งเป็นคำที่คาดว่าจะเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากล
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 แม้จะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง Visa ก็สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดที่สำคัญได้ถึง 60% ด้วยการแนะนำผลิตภัณฑ์อย่างเช็คเดินทาง Visa และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เป็นนวัตกรรมเช่นโฮโลแกรมบนบัตร ยอดการเรียกเก็บเงินของ Visa พุ่งสูงถึง 59 พันล้านดอลลาร์
ผลที่ตามมาคือ Visa กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรงพลังที่สุดในวงการการเงิน ทฤษฎีของ Dee Hock ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเขาถูกต้อง เขาได้สร้าง Visa ให้เป็นองค์กรแบบกระจายอำนาจที่เติบโตแบบฉุดไม่อยู่ และเพื่อพิสูจน์ต่อไปว่า Visa เป็นองค์กรที่มีเอกลักษณ์ซึ่งสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่มีเขาเป็นผู้นำ เขาตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะเกษียณ
2
สิ่งที่ Hock ไม่รู้คือภายในเพียงทศวรรษเดียว Visa จะเติบโตกลายเป็นสัตว์ร้าย เป็นมหาอำนาจในอุตสาหกรรม ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 Visa ได้จัดการธุรกรรมมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเห็นโอกาสที่น่าดึงดูดใจนี้ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมหลายคนก็กระตือรือร้นที่จะฉกฉวยโอกาสจากแนวโน้มนี้
1
หนึ่งในนั้นคือ Phil Purcell ที่มีความเป็นผู้ประกอบการมาตั้งแต่เริ่มแรก แม้แต่ตอนเป็นหนุ่ม เขาก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขา โดยการขายนิตยสารและทำงานในร้านซักแห้งในท้องถิ่นตั้งแต่เด็ก เขาเข้าใจธุรกิจอย่าลึกซึ้งมาโดยตลอด
3
ในขณะทำงานที่ Sears Purcell เป็นผู้นำในการเปิดตัว Discover เป็นบัตรเครดิตที่มุ่งเป้าไปที่นักช้อปชนชั้นกลาง ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 บัตร Discover มีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ทำให้บัตรนี้กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับ Visa และ MasterCard
เมื่อเห็นภัยคุกคามจาก Discover และบัตรเครดิตที่กำลังเติบโตอื่นๆ Visa และ MasterCard จึงต้องร่วมมือกัน พวกเขานำนโยบายเก่ามาใช้โดยป้องกันไม่ให้ธนาคารสมาชิกรับบัตรของคู่แข่ง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ Visa เคยลองใช้มาก่อนหน้านี้แล้ว Purcell มองว่าพวกเขาถูกรังแก และสิ่งที่ Visa และ MasterCard ทำมันไม่ยุติธรรม
Purcell ตัดสินใจเข้าร่วมกับ American Express ฟ้องร้อง Visa และ MasterCard ต่อหน่วยงานกำกับดูแล Purcell หวังว่า Visa และ MasterCard จะถูกลงโทษด้วยค่าปรับจำนวนมากเพื่อชดเชยให้กับบริษัทของเขา
1
การฟ้องร้องที่ยื่นโดยกระทรวงยุติธรรมในศาลรัฐบาลกลางแมนฮัตตัน กล่าวหาว่าพวกเขาจำกัดทางเลือกของผู้บริโภคและยับยั้งการแข่งขันโดยการควบคุมทั้งสองสมาคมผ่านธนาคารเดียวกันและห้ามธนาคารสมาชิกเสนอบัตรของคู่แข่งเช่น American Express และ Discover การฟ้องร้องนี้เป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อธุรกิจของ Visa
2
หากพวกเขาแพ้ พวกเขาอาจสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ ปัญหาของ Visa ยังไม่จบเพียงเท่านี้ แม้ว่าการฟ้องร้องต่อต้านการผูกขาดจะคุกคาม ยังมีบริษัทใหญ่อีกแห่งหนึ่งก็ตั้งเป้าที่จะโค่นล้ม Visa ด้วยเช่นกัน
1
ในช่วงต้นปี 2000 กลุ่มผู้ค้าปลีกนำโดย Walmart ยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่มต่อ Visa พวกเขากล่าวหาว่า Visa ใช้อำนาจเหนือตลาดในการบังคับใช้ค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตที่สูงเกินไปและจำกัดไม่ให้ผู้ค้ายอมรับบัตรของคู่แข่ง การฟ้องร้องครั้งนี้อ้างว่าเป็นการจำกัดทางเลือกของผู้บริโภคและยับยั้งการแข่งขัน
1
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าทำไม Visa ถึงกลายเป็นผู้ผูกขาด เช่นเดียวกับบริษัทเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เกิดขึ้นในภายหลัง อย่างเช่น Facebook เมื่อมีผู้ค้าและผู้บริโภคใช้เครือข่ายการชำระเงินมากขึ้น มันก็ยิ่งสะดวกและแพร่หลายมากขึ้น ดึงดูดผู้ใช้มากขึ้นไปอีก วงจรนี้สามารถนำไปสู่การยึดครองตลาด ซึ่งอาจสร้างสถานะคล้ายกับการผูกขาด
การต่อสู้ทางกฎหมายที่เพิ่มขึ้นบังคับให้ Visa ต้องจ่ายเงินหลายพันล้านในการตกลงกับบริษัทต่างๆ เช่น American Express, Discover และผู้ค้าปลีกที่เกี่ยวข้องในการฟ้องร้องแบบกลุ่ม ในไม่ช้าแม้ธุรกิจของพวกเขาจะเปรียบเสมือนเครื่องจักรผลิตเงิน แต่ Visa กำลังจะล้มละลาย
ในมุมมองของผู้บริหาร Visa แล้ว มีเพียงทางออกเดียวเท่านั้น นั่นคือการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งได้มีการเสนอขายหุ้นสู่สาธารณะชนในปี 2008 และสามารถทำลายสถิติใหม่ โดยระดมทุนได้กว่า 17 พันล้านดอลลาร์แม้จะมีวิกฤตการเงินที่กำลังจะมาถึง นักลงทุนชอบบริษัทที่มีสถานะผูกขาด โมเดลธุรกิจของ Visa นั้นดีมาก และนักลงทุนสามารถมองข้ามความจริงที่ว่าบริษัทอาจจะถูกฟ้องร้องได้อย่างต่อเนื่อง
3
Visa ได้มีการเสนอขายหุ้นสู่สาธารณะชนในปี 2008 (CR:SFGate)
จากเครือข่ายการชำระเงินแบบกระจายอำนาจ Visa ได้กลายเป็นมหาอำนาจที่ครอบงำวงการการเงิน ในปี 2023 Visa มีรายได้ 33 พันล้านดอลลาร์และมีกำไรสุทธิ 17 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ด้วยปริมาณการชำระเงินกว่า 12.3 ล้านล้านดอลลาร์ที่ผ่าน Visa ทำให้พวกเขากลายเป็นราชาแห่งการชำระเงินอย่างไม่ต้องสงสัย
1
ความสำเร็จของ Visa เป็นบทเรียนที่น่าทึ่งในการสร้างและรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยวิสัยทัศน์ของ Dee Hock และความสามารถในการปรับตัวของบริษัทต่อความท้าทายต่างๆ Visa ไม่เพียงแต่อยู่รอด แต่ยังเติบโตเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการชำระเงินระดับโลก
การเดินทางของ Visa จากแนวคิดที่กล้าหาญของ Hock ไปสู่การเป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงพลังของนวัตกรรม ความยืดหยุ่น และความสามารถในการมองเห็นโอกาสในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
2
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมกับคำถามเกี่ยวกับการผูกขาดและการแข่งขันที่เป็นธรรม การต่อสู้ทางกฎหมายและการควบคุมที่เพิ่มขึ้นที่ Visa กำลังเผชิญ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่บริษัทที่มีอำนาจสูงต้องเผชิญในโลกที่มีการควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม
ในท้ายที่สุด เรื่องราวของ Visa เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความคิดที่ปฏิวัติวงการสามารถเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมและสังคมได้อย่างไร แม้ว่าจะเริ่มต้นจากแนวคิดเรียบง่ายของการทำให้การชำระเงินสะดวกขึ้น แต่ Visa ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระดับโลก ที่มีอิทธิพลต่อวิธีที่ผู้คนและธุรกิจทำธุรกรรมทั่วโลกมาจวบจนถึงทุกวันนี้นั่นเองครับผม
3
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา