30 ส.ค. เวลา 00:50 • ปรัชญา
เรื่องเจ้าชายสิทธัตถะ เรื่องราวของเจ้าชาย เศรษฐีที่ ท่านทิ้งทรัพย์สมบัติ ทิ้งยศฐานบรรดาศักดิ์ ข้าทาสบริวาร เดินตัวคนเดียว เข้าป่า ..ท่านเห็นอะไร ท่านทำไมทิ้ง ..สิ่งเหล่านี้ ไม่เอาติดตัวไป เดินเข้าป่าคนเดียว ..เพราะท่านเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นเหมือนของเน่า มันมีความเบื่อหน่าย ไม่อยากเห็นของเน่าเหม็นอีก แม้แต่อาหารการกิน ที่กินเข้าไปมันก็บูดเน่า กินนอนอยู่กับสิ่งของเน่าๆ ที่ห้อมล้อม จิึงต้องไปชำระสะสาง กายเอาของเน่าออกไป
(หากวันหนึ่ง เราเกิดรู้สึกอย่างนั้น รู้สึกถึงกระแสสัมผัสต่างๆ ในสิ่งที่ไหลออกมาจากทรัพย์สินเงินทอง มันทุกข์มันแสบร้อน มันเหม็นเน่าอยู่ตลอดเวลา ก็คงต้องหนีต้องทิ้ง มันเบื่อหน่ายเอง แต่ว่าคนเรามันเห็นมันยึดสิ่งเหล่านี้ว่าดี เป็นของดี ของหอมน่าสะสม หากเราเกิดความรู้สึกอย่างนั่นได้ ..เราจะอยู่ในเวียงวัง ทรัพย์สมบัติต่อไปมั้ย นั้นเป็นเรื่องราวของบุญกุศลที่หนุนนำมา ทีเคยทำมา เพื่อสละทุกข์นั้นออก ทำด้วยความเต็มใจ ..ไม่เรียกร้องเอาคืน)
สิ่งที่ท่านได้เคยศึกษาเรื่องของกรรมเรื่องของธรรม ..บุญกุศลบารมี มาหลายภพหลายชาติ ทำมาสี่อสงไขย ..จนมาชาติสุดท้าย ท่านก็ทิ้ง มันได้หมด มีพระท่านเล่าให้ฟัง ในชาติพระเวสสันดร ท่าน..จะสำเร็จบรรลุเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..เพียงนิดเดียว ที่ตัดห่วงไม่ขาด .. จิตหนึ่งที่ห่วง บุตรธิดา ที่ยกให้ชูชก เห็นชูชกเฆี่ยนตี บุตรธิดา ก็ไปเอาพระขรรค์จะมาทำร้ายชูชก ..จึงต้อง กลับมา ..มาอยู่เวียงวังอีก มีทรัพย์สมบัติบากมาย กลับมาใช้ทรัพย์สมบัติอีก ต้องกลับมาเกิดอีก
พอมาในชาติ พระสิทธัตถะ ท่านก็ทิ้งหมด ทิ้งเวียงหวัง ยศฐานบรรดาศักดิ์ เพราเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นทุกข์ ทำให้ต้องเกิดม่ามีกรรม มีกายไม่จบสิ้น ด้วยปัญญาธรรม ที่ท่านสะสมปฏิบัติธรรมมา ท่านก็เข้าป่า ไปชกสะสาง เรือนกายของท่าน ที่มีกรรมอยู่ในธาตุทั้งสี่ กรรมที่บันทึกสะสมมา ..ท่านก็เจียระไนออกไปจนหมดสิ้น ไม่กลับมาคลุกมายึดของบูดเน่า คือ อารมณ์โลภโกรธหลง ราคะตัณหา มันเป็นเหมือนของเน่า ที่หลงใหลไปยึดถือ มันจึงต้องกลับมาเกิดๆตายๆ อยู่กับของบูดเน่า ยุติการเกิดได้..ก็ไม่มีของบูดเน่า มีเรือนกายที่ไปกินของเน่าๆอีก
เรื่องอาหาร การกิน เรากินเนื้อกุ้ง เนื้อหมู เป็ดไก่ เรากินเค้าเอร็ดอร่อย แต่เราเคยมั้ย ..กินไปพิจารณาไปว่า ไอ้กุ้งหมูเป็ดไก่ ที่จิตไปตกในสังขารกรรม ชดใช้เวรกรรม มันไปใช้ชีวิต หากินอะไรมาบ้าง ..น้ำเลือดน้ำหนอง เนื้อของเค้าสะสมอะไรมาให้เรากิน .เนื้อของเค้า แม้แต่ผลไม้ วางไว้เฉยมันก็เน่าเหม็น เรากินเข้าไปในท้อง มันก็ไปบูดเน่า ต้องถายทิ้งไป ..พิจารณา
..พิจารณาบ่อยๆ เราก็จะค่อยๆ ให้จิตเรารับรู้ขึ้นมา ..แต่ต้องท่องพุทโธ ให้จิตอยู่กับพระไว้ ..วันหนึ่ง เราอาจจะเห็นว่า .ปลาที่เป็นตัวๆ หมูหันเป็นตัว ที่เค้าวางลงที่ตรงหน้า ..เห็นเป็นภาพ คนนอนในจาน นั้นก็เป็นเรื่องราวที่ว่า จิตที่เคยเป็นมนุษย์ ไปเกิดชดใช้กรรม ในสังขารกรรม ..แล้วเราจะหยิบกินมั้ย
ครั้งหนึ่ง น้องเค้าก๋วยเตี๋ยวน่องไก่ มาให้เรากิน เราก็หยิบน่องไก่ออกไป ..เพราะรู้สึกไม่อยากกิน เราน่องไก่ใส่ถ้วยวางข้างๆ เราก็นั่งกินไป ท่องพุทโธของเราไป สักครู่ ..ก็เห็นเป็นภาพข้อมือคน ..เน่าๆ จุ่มอยู่ในถ้วย .เรื่องราวอย่างนี้ พระที่เรานับถือ ..ท่านไม่ฉันเลย ที่เค้าถวายปลาวางในจานมาเป็นตัว ..ฉันมองเห็นเป็นรูปร่างคนนอนในจาน..แต่คนเราไม่ได้เห็นอย่างนั้น ปลาก็เป็นปลา กินเนื้อของกรรมเอร็ดอร่อยไป แล้ววันหนึ่งเค้าก็มากัดกินเอร็ดอร่อยบ้าง ก็กินเนื้อของกรรมเค้าไป ..กินเข้าไป เพื่อสร้างเวรกรรม.
เอ้า..คราวนี้ เรามาดู การสร้างบุญสร้างกุศล ..เค้าปรารถนาอะไรกัน ..บ้างทำบุญเอาหน้า บ้างก็ปรารถนาให้ร่ำรวย ยศฐานบรรดาศักดิ์ ..เค้าปรารถนาสร้างอะไรกัน อยากได้..เวรกรรม อยากมีความโลภโกรธหลงให้เพิ่มพูนขึ้นไปอีก ..แล้วมันจะเกิดเป็นบุญกุศลได้มั้ย บุญกุศลที่จะหนีเวรกรรม ปลดเปลื้องทุกข์ออกไปจากจิต.. มันเป็นไปได้มั้ย
..ในเมื่ิอจิตเค้ายึดติดในสิ่งเหล่านั้นอยู่ ที่พระท่านบอกว่า เป็นของเหม็นซากศพ แต่เราเห็นว่าเป็นของหอมน่าสูดดม นั่นมันเรื่องราวของวิญญาณทั้งหกมีกรรม มีอารมณ์ปรุงแต่งให้เป็นอย่างนั้น ปกปิดไม่ให้เรารับรู้ให้รู้จัก ทุกข์ที่จิตนั้นหอมล้อมในสิ่งที่สกปรกเลอะเทอะ แล้วจิตเราเป็นจิตน้อยๆ รับรู้ไม่ได้ ..แล้วเชื่ออารมณ์โลภโกรธหลงที่สะสมใช้มานาน ..เค้าก็ต้องทำไปตามเสียงของอารมณ์นึกคิดที่ปรุงแต่ง เพราะเค้าหลอกให้กลิ่นเป็นของหอม ..
คราวนี้ ลองมาดู เรื่องพระอานนท์ ที่พระพุทธเจ้า พาขึ้นไป บนสวรรค์ ท้าวสักกะเทวราช ก็หานางฟ้าที่สวยที่สุด มาให้ดู พระพุทธเจ้าถามว่า อยากแต่งงานด้วยมั้ย พระอานนท์บอกว่า อยากแต่ง (ท่านว่า ตอนนั้นยังตัดไม่ขาด มันยังมีราคะเจืออยู่นิดว่างั้น
) จากนั้น พระพุทธเจ้า ก็บอกว่า ให้ทำกายนิ่ง จิตเฉย แล้วมองดูอีกครั้งหนึ่ง นางฟ้านั่น ก็เปลี่ยนรูปเป็นหญิงชรา อายุเป็นร้อยปี ฟันฟางไม่ เหลือแต่เหงือก ..พระพุทธเจ้า ถามว่า อยากแต่งอีกมั้ย พระอานนท์ ก็บอกว่า ไม่แต่งแล้วพระเจ้าคะ ท่านบอกว่า พอเห็นตัวกระทำที่แท้จริง มันก็ตัดได้ นี่ถ้าเราแต่งไป ก็ต้องไปนั่งเฝ้า นั่งจูง กันไปจนแก่เฒ่าชรา หงำเหงือกอย่างนี้ ..ท่านก็บอกว่า เราไม่เอาดีกว่า ..
โฆษณา