1 ก.ย. เวลา 01:30 • หนังสือ

สรุปหนังสือ ''คว้าโอกาสลงทุนทั่วโลกผ่าน ETF''

หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร?
คำตอบคือ?
# คนที่มองหาที่พักเงินที่ให้ผลตอบเเทนมากกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคาร
# คนที่อยากให้เงินเย็นของตัวเองชนะเงินเฟ้อ เเละได้ผลตอบเเทนเฉลี่ยต่อปี มากกว่า 1-2% ที่เงินฝากออมทรัพย์จะให้ได้
# คนที่ลงทุนในประเทศอยู่เเล้ว เเต่ต้องการกระจายความเสี่ยงในต่างประเทศในเวลาเดียวกัน
หนังสือเล่มนี้จำเเนกสินทรัพย์ไว้หลักๆ 2 รูปเเบบคือ
1. สินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Real Assets) ซึ่งจำเเนกย่อยออกมาเป็นอีก 2 ชนิดได้เเก่ 1.1) อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหมายถึงบ้านหรือ คอนโดมิเนียม
1.2) สังหาริมทรัพย์ อาธิเช่น ทอง อัญมณี รถ เป็นต้น
ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้ข้อเสียคือมีสภาพคล่องน้อยขายไม่สะดวก
2. สินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Assets), ข้อดีของมันคือสามารถซื้อขายได้คล่องตัวเเละเก็บสะสมได้สะดวกมากกว่า ซึ่งเเยกออกมาเป็น 2 ชนิดดังภาพด้านล่างนี้เลย
1.1 Financial Assets Type
ความเเตกต่างของทรัพย์สินประเภทที่2 นี้ เเบ่งตามอายุของทรัพย์สิน :
# สินทรัพย์ทางการเงินในตลาดเงินคือ สินทรัพย์ที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี
# สินทรัพย์ทางการเงินในตลาดทุนคือ สินทรัพย์ที่มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป
เนื่องจากจุดประสงค์ของหนังสือนั้นให้ข้อมูลไปทางการลงทุนที่ได้ผลตอบเเทนเเละความเสี่ยงระดับกลาง ถึงระดับสูงไปเลยสะส่วนใหญ่, เนื้อหาความรู้จึงเน้นไปที่สินทรัพย์ทางการเงินที่อยู่ฝั่งขวาเสียมากกว่า
1.ตราสารหนี้
เป็นสินทรัพย์ที่เกิดจากการระดมทุนของ กิจการใดกิจการหนึ่ง ซึ่งหากเราลงทุนในสินทรัพย์หน่วยนี้
ตัวเราจะมีสถานะเป็น '' เจ้าหนี้''
ผู้ที่ออกตราสารหนี้นั้นเปรียบเสมือน ''ลูกหนี้''
1.1) ซึ่งหากกิจการที่ต้องการระดมทุนเป็นรัฐบาล เราเรียกตราสารหนี้ประเภทเเรกว่า ''พันธบัตรรัฐบาล'' เป็นตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เพราะมีลูกหนี้เป็นกระทรวงการคลัง, สภาพค่อยต่ำ เนื่องจากมีระยะเวลาการไถ่ถอนที่กำหนด ยกตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล 5 ปี 10 ปีเป็นต้น
โดยผลตอบเเทนที่ได้จะออกมาในรูปเเบบดอกเบี้ย ซึ่งมักจะจ่ายปีละ 2 ครั้ง, อัตราผลตอบเเทนเฉลี่ยอยู่ที่ 0-4-2% ต่อปี ขึ้นกับระยะเวลาของพันธบัตร
1.2)ในอีกด้านนึงหากกิจการที่ขอระดมทุนเป็นบริษัทเอกชน เรียกอีกชื่อว่า
''หุ้นกู้'' เป็นตราสารหนี้ที่มีระดับความเสี่ยงที่สูงขึ้นมาจากประเภทเเรกเพราะมีโอกาสที่บริษัทเอกชนอาจมีการผิดนัดชำระการจ่ายดอกเบี้ยเเละงินต้นคืน
ซึ่งหุ้นกู้เเบ่งย่อยออกมาเป็น 2 ระดับดังนี้
1.2.1) หุ้นกู้ระดับ Investment Grade ซึ่งระบุไว้ว่ามี Rating AAA - BBB-
ซึ่งให้ผลตอบเเทนเฉลี่ย 1.2 - 5% ต่อปี
1.2.2) หุ้นกู้ระดับ Speculative Grade, Rating ตั้งเเต่ BB+ - D ซึ่งมีโอกาสได้ผลตอบเเทนมากกว่า 5% เเต่ก็เเลกมาด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นจากบริษัทที่มีความมั่นคงน้อยกว่าหุ้นกู้ระดับบน
***ปล. ดอกเบี้ยที่ได้รับจากตราสารหนี้จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามเงื่อนไขเงินได้บุคคลธรรมดา 15 %***
2. ตราสารทุน หรือหุ้นนั่นเอง ในโหมดนี้หากเราเข้าลงทุน ตัวเราเปรียบเสมือนเจ้าของกิจการเองด้วย มีสภาพคล่องสูงมากๆ สามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ เเละมีผลตอบเเทน(หุ้นไทย) เฉลี่ยอยู่ที่ 8 -12% ต่อปีเลยทีเดียว
***ปล. ผลตอบเเทนจากการลงทุนในหุ้นรายตัวนั้น ขึ้นอยู่กับความรู้เเละวินัยส่วนบุคคล ***
ความเสี่ยงอยู่ระดับสูงเลยเเหละ ผลตอบเเทนที่ได้รับมี 2 เเบบคือ ส่วนต่างกำไร เเละ ปันผล (ซึ่งปันผลหุ้นสามัญจะถูกหักภาษี 10%)
3. กองทุนรวม
คือหน่วยงานที่ต้องการลงทุนที่นิยามว่า ''ผู้จัดการกองทุน'' โดยระดมทุนจากผู้ที่สนใจหลายๆคน เเล้วเอาเงินมารวมกันเป็นก้อนใหญ่ จากนั้นก็ไปจดทะเบียนตั้ง กองทุนรวม ขึ้นในฐานะนิติบุคคล
ผลตอบเเทนของกองทุนจะคล้ายๆหุ้นสามัญตรงที่ มี 2 รูปเเบบนั่นคือ ส่วนต่างกำไร เเละ ปันผลซึ่งมักจะจ่ายไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี
กองทุนรวมนั้นมีหลายปลายประเภทมาก โดยขออนุญาติชี้เเจงเเบบย่อๆ ดังภาพ (1.2) ด้านล่างนี้
1.2 Mutual Fund Risk Level
สรุปเรื่องประเภทกองทุนรวมได้สั้นประมาณนี้
# กองทุนที่ลงทุนเเบบ Save ๆ ใน '' ตลาดเงินเเละพันธบัตรรัฐบาล'' จะมีความเสี่ยงต่ำมากที่จะเสียเงินต้นไป เเต่ก็ได้ผลตอบเเทนเฉลี่ยต่อปี พอไปวัดไปวาได้
# ขยับความเสี่ยงขึ้นมาอีกระดับคือการลงทุนกับ ''หุ้นกู้บริษัทเอกชน'' ที่มีตัวเลือกหน่วยลงทุนมากมายจากระดับ AAA ไปจนถึง D, ผลตอบเเทนส่วนนี้ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจในบริษัทที่เลือกลงทุน หากเเนะนำ ควรหาบริษัทที่มั่นคงที่ผลตอบเเทนไม่หวือหวา จะนอนหลับสบายใจกว่า
# ต่อมาอีกระดับคือการลงทุนใน ''กองทุนรวมดัชนี'' อันนี้จะได้ผลตอบเเทนล้อไปกับ ค่าเฉลี่ยดัชนีที่เราเลือก ยกตัวอย่าง เช่น Set50 Set100 เป็นต้น
ในส่วนนี้จะเสี่ยงขึ้นมาอีกหน่อยเพราะหุ้นในตลาดมีความผันผวนสูงกว่า คาดเดาได้ยากกว่า
# สำหรับกองทุนรวมหมวดอุสาหกรรมเเละ หมวดสินทรัพย์ทางเลือกนั้นเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ค่อยข้างต่ำ เพราะเปรียบเสมือนลงทุนโฟกัสไปที่ธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งถ้าจะได้ผลตอบเเทนดีต้องมั่นใจว่า ธุรกิจหมวดนั้นจะเติบโตได้ดีในระยะเวลาที่คาดหวัง ซึ่งต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในงบการเงิน การติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดในเเวดวงหน่วยลงทุนที่สนใจ
*ยกตัวอย่างหมวดการลงทุนรายอุตสาหกรรม เช่น หมวดยานยนต์ เเละ เทคโนโลยี
*ยกตัวอย่างหมวดการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ได้เเก่ น้ำมัน เเละทองคำ เป็นต้น
4. ETF (Exchanged Trade Fund)
1.3 Exchange Trade Fund
เป็นหน่วยลงทุนที่มีความเป็นเอกลักษณ์เจาะจงดังนี้
1. เป็นหน่วยลงทุนที่เน้นนำเงินไปลงทุนในกองทุนสินทรัพย์ต่างประเทศ สหัฐอเมริกา, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ เเละอินเดีย เป็นต้น
**ปล. ETF ในไทยมันเป็นหน่วยลงทุนที่เลือกลงทุนใน ''กองทุนรวมต่างประเทศ'' มากกว่าจะจัดพอร์ตด้วยหุ้นรายตัว เพื่อการกระจายความเสี่ยงที่มากกว่าให้กับนักลงทุน***
2. เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนเเบบ Passive (เลือกลงในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง) จึงไม่เปลี่ยนเเปลงสัดส่วนพอร์ตบ่อย ทำให้ค่าทำเนียมต่ำ
3.เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนีที่สำคัญต่างๆ ในต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น กองทุนดัชนี S&P 500 หรือ กองทุนดัชนีของตราสารหนี้คุณภาพดีในสหรัฐ อย่าง AGG เป็นต้น
4. เป็นกองทุนที่ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์เเบบ Real-Time โดยไม่ต้องรอซื้อขายกันที่ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ ... ทำได้เหมือนหุ้นเลย
5. ราคาที่ซื้อก็เป็นราคาปัจจุบันเหมือนซื้อขายหุ้นเลย ไม่ต้องรอราคาอัพเดทตอนสิ้นวันเหมือนกองทุนอื่นๆทั่วไป
ภาพรวมของ ETF คือเป็นลูกผสมระหว่างหุ้นสามัญรายตัวกับกองทุนรวมปกติ ที่ลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ อาธิเช่น หุ้นในตลาดเกิดใหม่อย่างอินโดนีเซีย หรือเวียดนาม, หุ้นเทคโนโลยี, หุ้นบริการสุขภาพ, เเละ หุ้นเกมส์(E- Sport) เป็นต้น
วิธีลงทุน ETF ต่างประเทศ
# ลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ
# ลงผ่านบริษัทหลักทรัพย์ไทย
# ลงทุนด้วยตัวเองผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศ
# ลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล Jitta Weath
หากชอบเนื้อหาการสรุปหนังสือ ฝากติดตามด้วยนะครับ
ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของผู้อ่านทุกท่าน สวัสดีครับ
อ้างอิง : หนังสือ คว้าโอกาสลงทุนทั่วโลกผ่าน ETF (Jitta Weath จากสำนักพิมพ์ ' พราว' )
ภาพเนื้อหาบางส่วนจาก : https://shopee.co.th
Self- Discipline
1 กันยายน 2567
โฆษณา