31 ส.ค. เวลา 03:40 • กีฬา

พ่อซน ฮึง-มิน โดนแจ้งความฐานทารุณกรรมเด็ก เรื่องราวเป็นอย่างไร เราจะไปเล่าให้ฟังนะครับ

วงการกีฬาเกาหลีใต้มีดราม่าใหญ่ เมื่อ ซน วุง-ยอง คุณพ่อของซน ฮึง-มิน โดนแจ้งความ ข้อหาใช้ความรุนแรงกับนักกีฬาเยาวชน
2
ความน่าสนใจของเคสนี้ คือทำให้เราได้เห็นว่า สิ่งเดิมๆ ที่เคยใช้ได้ผลดีในอดีต แต่อาจนำมาใช้กับยุคปัจจุบันไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อเราพูดถึง ซน ฮึง-มิน จะทราบดีว่า เขาคือนักเตะเอเชียที่เก่งที่สุดตลอดกาล วันนี้ไม่มีใครปฏิเสธความสามารถของซอนนี่ได้อีกต่อไป
โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ซน ยอดเยี่ยมได้ขนาดนี้ คือการเคี่ยวเข็ญจากผู้เป็นพ่อในวัยเยาว์
ตั้งแต่เด็กแล้ว ที่ซนต้องอยู่ในกฎเหล็กของพ่อตลอดเวลา ต้องซ้อมอย่างหนัก ไม่มีพัก แถมยังควบคุมชีวิตส่วนตัวทุกอย่าง ไม่ให้มีแฟนจนกว่าจะแขวนสตั๊ด เพื่อให้มุมานะที่ฟุตบอลอย่างเดียว
โปรแกรมตั้งแต่ประถม ซน ต้องซ้อมฟุตบอลที่โรงเรียน พอกลับบ้านต้องมาซ้อมบอลกับพ่อ ด้วยการเดาะบอลวันละ 40 นาที จากนั้นเลี้ยงผ่านกรวย วิ่งวนไป วิ่งวนมา ซ้ำๆ แบบนี้ อยู่ 7 ปี
ซน เล่าว่า "ผมเบื่อมาก ที่ต้องทำอะไรซ้ำเดิมเป็นปีๆ แต่ผมกลัวคุณพ่อมาก จนไม่กล้าบอกเขาว่าผมเบื่อหน่ายขนาดไหน"
"ตอนผมฝึกฟุตบอลกับพ่อ ผมจะยืนที่วงกลมกลางสนาม แล้วเดินไปเดาะบอลไป รอบเส้นวงกลม โดยรอบแรก เดาะบอลด้วยเท้าซ้ายอย่างเดียว รอบ 2 เดาะด้วยเท้าขวาอย่างเดียว และรอบ 3 เดาะด้วยสองเท้าสลับกัน ถ้าหากผมทำบอลหล่นตอนไหน ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่แรก"
พ่อของซน ฮึง-มิน เคี่ยวเข็ญอย่างหนัก และบีบคั้นกดดันลูกชายทุกทาง "ครั้งหนึ่งเราทะเลาะกันเรื่องอะไรสักอย่าง พ่อผมโมโห ก็เลยสั่งให้ผมเดาะบอล 4 ชั่วโมง ผมเดาะนาน จนตาลายไปหมด ลูกบอลลูกเดียว เหมือนมี 4 ลูกลอยอยู่ และขาก็เริ่มยืนไม่ตรงแล้ว ทีนี้ มีคุณยายบ้านข้างๆ เธอตะโกนมาว่า จะแจ้งความจับพ่อผม ที่ปฏิบัติกับลูกชายไม่ดี พ่อผมสวนไปว่า ที่ทำแบบนี้เพราะหวังดีต่างหาก แต่คุณยายคนนั้นก็สวนกลับมาอีกว่า 'ไม่มีพ่อแม่คนไหนทำแบบนี้กับลูกตัวเองหรอก' "
4
ซนผ่านการซ้อมที่สาหัสมาก เขาเดาะบอลจนเล็บหลุดมาแล้วหลายครั้ง และถ้าหากทำตัวไม่ขยัน ก็จะโดนพ่อฟาดเข้าไปเต็มแรง ซึ่ง ซน วุง-ยอง อธิบายว่า "ผมอัดลูกชายบ่อยๆ เพราะคิดว่ามันจำเป็น ผมรู้ว่าคนยุโรปคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ"
ความเขี้ยว ความโหดของพ่อ ในระดับที่แทบจะทรมานลูกตัวเอง กลายเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาทักษะของซน ฮึง-มิน
เพราะฝึกเลี้ยงบอล และฝึกเดาะบอลมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขามีสกิลเก่งกว่าเด็กรุ่นเดียวกันแบบชัดเจนมาก จากนั้นพอย้ายไปอะคาเดมี่ของฮัมบูร์ก ที่เยอรมัน ตอนอายุ 17 ปี เขาก็รับมือกับการฝึกหนักของฟุตบอลยุโรปได้สบายๆ เพราะเคยผ่านความเขี้ยวกว่านี้จากคุณพ่อมาแล้ว
1
ถามว่าโดนเคี่ยวเข็ญตั้งแต่เด็ก เป็นเรื่องดีไหม? ก็อาจจะใช่ เพราะผลลัพธ์มันก็ออกมาให้เห็นว่า ซน ประสบความสำเร็จมากๆ ในโลกฟุตบอล
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็เป็นปมในใจเขาอยู่บ้าง ซนเล่าว่า "ผู้เล่นแต่ละคนมักจะมีความทรงจำดีๆ ในสมัยเป็นเยาวชน แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลยในตอนเด็ก เพราะการซ้อมมีอยู่แบบเดียวๆ ซ้ำไปซ้ำมา ทุกวัน"
1
ความโหด ความเขี้ยวของคุณพ่อซน ฮึง-มิน ถูกดีเบทอยู่บ่อยครั้งในเกาหลีใต้ ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องแล้วหรือไม่
คือคนเป็นโค้ชสามารถบีบคั้น กดดันนักเตะได้ขนาดนั้นเลยหรือ แล้วถ้าเยาวชนเครียดหนัก จนมีแผลในใจจะทำอย่างไร
สมมุติความเขี้ยวที่ว่า ไม่ใช่แค่คำพูด แต่มีการลงไม้ลงมือด้วย แบบนี้สามารถถูกจัดว่าเป็นการทารุณกรรมได้ไหม?
แต่ประเด็นคือ ผลผลิตจากความเขี้ยวที่ว่า เราก็เห็นกันอยู่ ว่ามันกลายมาเป็นนักเตะระดับซน ฮึง-มิน ผู้เล่นเอเชียเพียงคนเดียวที่ได้ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก
1
การที่คุณจะก้าวไปถึงระดับนี้ ก็ต้องโดนซ้อมโหดๆ ประมาณนี้หรือเปล่า
หลังจาก ซน ฮึง-มิน ประสบความสำเร็จ ในปี 2018 คุณพ่อได้เปิดสถาบันสอนฟุตบอล ชื่อ "ซน ฟุตบอล อะคาเดมี่" ที่ตั้งอยู่ในเมือง ชุนชอน ห่างจากกรุงโซล 75 กิโลเมตร
นี่เป็นสถาบันขนาดใหญ่ ใช้ทุนสร้างมากกว่า 19,000 ล้านวอน (495 ล้านบาท) มีสนามฟุตบอล 6 สนาม มีห้องเรียนหนังสือ มีหอพักนักกีฬา ทุกอย่างครบวงจรหมด
ขณะที่วิธีการสอนนั้น คุณพ่อจะเอาวิธีการที่ใช้ปั้นลูกชาย มาใช้การกับเด็กคนอื่นๆ ด้วย เผื่อที่อนาคต เกาหลีใต้จะได้มีซน ฮึง-มิน คนต่อไป
สถาบันเปิดดำเนินการมาได้ 6 ปี ก็เกิดดราม่าขึ้น
คือเวลาคุณโหดกับลูกชาย ด้วยความรักพ่อ ลูกก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่พอไปโหดกับลูกคนอื่น เรื่องมันบานปลายได้ง่ายๆ
เดือนมีนาคม 2024 คุณพ่อของเด็กชาย A นักฟุตบอลคนหนึ่งในอะคาเดมี่ แจ้งความใส่ ซน วุง-ยอง และสตาฟฟ์โค้ชอีก 2 คน ในข้อหาทารุณกรรมเยาวชน
เด็กชาย A บอกกับตำรวจว่า
- ตอนที่ลงแข่งแบบทีม แล้วแพ้คู่ต่อสู้ พอจบเกม โค้ชสั่งให้ทั้งทีม วิ่งจากเส้นหลังประตู มาจนถึงเส้นกลางสนามใน 20 วินาที พอมีนักเตะ 3 คน วิ่งมาถึงไม่ทัน โค้ชสั่งให้ทุกคน นอนลงในท่าเตรียมวิดพื้น จากนั้นเอาไม้ฟาดลงไปจนถึงขั้นเลือดออก
1
- พูดจารุนแรง ดูถูกเหยียดหยาม เวลานักกีฬาทำอะไรผิดพลาด โดยไม่รักษาน้ำใจ ตัวอย่างเช่น พูดว่า "ไอ้เวรนี่ ไอ้หมา ฉันจะฆ่าแก" หรืออีกประโยคเช่น "แกวิ่งไม่ได้ แกแย่งบอลไม่ได้ แกป้องกันไม่ได้ แกบุกไม่ได้ แล้วแกทำอะไรเป็นบ้างวะ"
- ใช้คำหยาบคายทั้งๆ ที่นักเตะ ยังเป็นเยาวชนอายุไม่เกิน 13 ปี
- ใช้กำลังตบตี ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตอนผู้เล่นอยู่ในหอพักของอะคาเดมี่
- ถ้าใครมาสายจะโดนโค้ชตบศีรษะ
3
- ตอนไปอุ่นเครื่องที่เมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น แล้วเล่นผิดพลาด โค้ชใช้ธงที่ตั้งอยู่ตอนเตะมุม หยิบมาฟาดต้นขาของนักเตะ จนต้องพักยาว 2 สัปดาห์
หลังจากเปิดอะคาเดมี่มาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกเลย ที่วิธีการสอนของคุณพ่อ ซน ฮึง-มิน กลายเป็นคดีความถึงขั้นต้องขึ้นโรงพักแบบนี้
ในระหว่างที่การสืบสวนดำเนินไป สิ่งที่เกิดขึ้น คือคนเกาหลีใต้ แบ่งความคิดเห็นเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายแรกคือ ซัพพอร์ทคุณพ่อ บอกว่าวิธีจะปั้นสตาร์ มันก็ต้องแบบนี้แหละ ถ้าหวังแต่ดอกไม้ หวังแต่อะไรสวยๆ งามๆ เด็กมันจะแข็งแกร่งได้ยังไง คิดจะเป็นนักกีฬาอย่าทำตัวนุ่มนิ่มมาก รู้จักอุทิศตนซะบ้าง
คาแรคเตอร์ของคนเกาหลี คือต้องอึด ต้องทน แค่นี้มาร้อง มาบ่น แล้วจะประสบความสำเร็จได้ไหม
เช่นเดียวกับ พ่อแม่ของเด็กหลายๆ คนในอะคาเดมี่ บอกว่าก็โอเคนะ ที่จะซ้อมตามวิธีของโค้ช ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน
1
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่สอง รุมสับคุณพ่อของซนยับเยิน ตัวอย่างเช่น ฮัม อึน-จู เลขาธิการสถาบันกีฬาและสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า "การแจ้งความเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง คือคุณพ่อของเด็กชาย A อยากจะซ้อมฟุตบอลต่อไปที่อะคาเดมี่ แต่ก็อยากแน่ใจว่าจะไม่มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นอีก มันเป็นหน้าที่ของสถาบันไม่ใช่หรือ ที่จะปรับโปรแกรม ไม่ให้มีความรุนแรง แทนที่จะไปกดดันเด็กให้ปิดเงียบในเรื่องที่เกิดขึ้น"
แล้วที่สำคัญ เยาวชนที่ว่า อายุแค่ 12-13 วัยขนาดนี้ ควรสอนให้สนุกกับฟุตบอลก่อนไหม จำเป็นต้องเคี่ยวเข็ญกันเบอร์นั้นเลยหรือ
นี่กลายเป็นคดีความที่คนเกาหลีใต้สนใจ โดยฝั่งอัยการแจ้งว่า "เราต้องให้ความสำคัญกับเด็กเป็นอันดับแรก นี่มันเกี่ยวกับสภาพจิตใจของเยาวชนคนหนึ่ง"
หลังการเจรจากันของทั้ง 2 ฝ่าย แนวโน้มของคดีนี้ น่าจะจบลงที่การจ่ายเงินค่าชดเชย สำหรับค่าบอบช้ำทางจิตใจของเด็กชาย A
ฝั่งคุณพ่อของเด็กชาย A เรียกเงินที่ 500 ล้านวอน (12.7 ล้านบาท) แต่ฝั่งทนายของอะคาเดมี่ บอกว่าจ่ายได้สูงสุด 100 ล้านวอน (2.5 ล้านบาท)
1
เรื่องตัวเงิน ก็เป็นประเด็นเหมือนกัน เพราะคุณพ่อของเด็กชาย A ยังไงก็ไม่ยอม บอกว่าต้องจ่าย 500 ล้านวอนเท่านั้น โดยระบุว่า "500 ล้านวอน เป็นเงินที่น้อยมาก ถ้าเทียบกับสินทรัพย์ที่ ซน ฮึง-มิน มีอยู่ในปัจจุบัน คือ 4 แสนล้านวอน (1 หมื่นล้านบาท)"
ทนายตอบว่า แต่นั่นมันเงินของ ซน ฮึง-มิน ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ นี่คืออะคาเดมี่สอนฟุตบอล มันคนประเด็นกันเลย แต่คุณพ่อเด็กชาย A ตอบว่า มันจะไม่เกี่ยวได้ยังไง สถาบันก็เอาซน ฮึง-มิน มาโปรโมทซะขนาดนั้น
1
ตอนนี้สองฝ่ายกำลังต่อรองตัวเลขกันอยู่ ชาวเน็ตเกาหลีจึงบอกว่า ทำไมดูคุณพ่อเด็กชาย A เหมือนอยากจะได้เงิน มากกว่าการดูแลสภาพจิตใจของลูกชายเสียอีก
7
บทลงเอยนั้น ซน วุง-ยอง ต้องเสียเงินแน่ๆ เป็นค่าชดเชยให้เด็กที่โดนกระทำ อยู่ที่ว่าจะโดนเท่าไหร่ แต่ก็คงไม่บานปลายถึงขั้นต้องติดคุก
หลังเกิดเรื่องคดีความขึ้นมาแล้ว ซน วุง-ยอง แสดงความเห็นว่า ก็ใช่ ที่ผ่านมา การซ้อมมันก็มีความรุนแรงจริงๆ
1
"ผมจะไม่ปฏิเสธ ในสิ่งที่โดนกล่าวหาหรอกนะ"
"ผมขอโทษที่ทำให้เด็กเจ็บตัว บางทีผมอาจจะตามยุคสมัยไม่ทัน ทำให้วิธีการสอนของผม ยังเป็นแบบเดิม ทั้งๆ ที่ในยุคนี้ มีมาตรฐานที่ถูกกำหนดไว้โดยกฎหมายแล้ว"
เรื่องราวก็จบลงตรงนี้ครับ แปลว่าวิธีการสอนของซน ฟุตบอล อะคาเดมี่ คงต้องเปลี่ยนไปในอนาคต เพราะถ้าทำอีก เล่นบทโหดอย่างเดิม ใช้กำลังตบตี ใช้ไม้ฟาด แล้วโดนผู้ปกครองนักเตะคนอื่นมาฟ้องร้องอีก ก็คงต้องมาจ่ายค่าปรับกันอีก
การซ้อมแบบเข้มข้น รากเลือด เคี่ยวเข็ญกันตั้งแต่เด็ก กดดันทั้งวาจา และการกระทำ แบบที่ซน ฮึง-มิน เคยโดน ก็คงไม่มีแบบนั้นอีกแล้ว เพราะถ้าโดนเล่นงานทางกฎหมายอีกรอบ คงไม่คุ้ม
คำถามที่น่าสนใจคือ วิธีการสอนแบบ Tough Love ของเกาหลีใต้ ที่เป็นมาตลอดหลายสิบปี ในสไตล์โหดเพราะรัก มันดีหรือไม่ดีกันแน่
บางคนบอกว่า ถ้าอยากได้ซูเปอร์สตาร์ในวงการกีฬา คุณก็ต้องซ้อมโหดๆ ตั้งแต่เด็กขนาดนี้แหละ อยากได้อะไร ก็ต้องอุทิศตนสิ
แต่บางคนก็บอกว่า ประเทศอื่นเขาไม่ต้องโหดกับเด็กเบอร์นั้น ก็ยังเห็นปั้นสตาร์ขึ้นมาได้เหมือนกัน ถ้าคุณไม่เปลี่ยนพฤติกรรมวันนี้แล้วจะเปลี่ยนตอนไหน
ดังนั้นก็ต้องติดตามดูกันต่อไปครับ ว่าด้วยวิธีการซ้อมของโค้ชเกาหลีใต้ยุคใหม่ ที่น่าจะซอฟต์ลงกว่าเดิม เพราะมีกฎหมายมาคอนโทรลอยู่ จะส่งผลอะไรหรือไม่
ถ้าสมมุติ เกาหลีใต้สามารถผลิต ซน ฮึง-มิน คนที่ 2 3 4 ได้ล่ะก็ แสดงว่าความโหดในการซ้อมอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญในการปั้นเยาวชนก็ได้
เอาเป็นว่าเรื่องทั้งหมดนี้ เวลาเท่านั้น ที่จะเป็นคำตอบครับ
โฆษณา