31 ส.ค. เวลา 05:35 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

วิมานหนาม (2024) : วิมานสังกะสี การห่ำหั่นของคนชายขอบ และร่องแผลความเจ็บปวดจากหนามแห่งความเหลื่อมล้ำ

หากมองไปที่เค้าเรื่องของภาพยนตร์ เชื่อว่าหลายคนคงจะอนุมานได้ว่า “วิมานหนาม” นั้นคงจะเป็นเสมือนกระบอกเสียงที่พูดถึง “ความเจ็บปวด” ของเหล่า LGBTQ+ ที่ถูกย้ำเหยียบด้วยกรอบทางสังคม หรือที่มากกว่าไปนั้นคือ กฎหมาย ที่ไม่มีพื้นที่ยืนให้สำหรับพวกเขาเหล่านี้
นั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว “วิมานหนาม” นั้นกำลังสะท้อนถึง “ความเจ็บปวด” ของทุกตัวละคร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงของความเหลื่อมล้ำที่กัดกินระบบ สังคม ลากยาวจนลงมาถึงชีวิตของตัวละครเหล่านี้ เรื่องราวแก่งเเย่งวิมานสังกะสีนี้ก็เช่นกัน
ซึ่งแน่นอน ตัวละครอย่าง “ทองคำ” (เจฟ ซาเตอร์) นั้นก็ดูจะได้รับผลกระทบอย่างชัดแจ้งที่สุดจากการที่สวนทุเรียนของเขาที่ลงแรงร่วมสร้างมากับคู่รักอย่าง “เสก” (เต้ย พงศกร) กำลังถูกแย่งไปด้วยความไม่เท่าเทียมทางกฎหมายที่ไม่เปิดช่องให้คู่ชายรักชายสามารถจดทะเบียนสมรสด้วยกันได้ ภายหลังจากที่เสกมาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน จึงส่งผลให้สวนทุเรียนและที่ดินจึงตกทอดไปเป็นกรรมสิทธิของแม่เสก คือ “นางแสง” (สีดา พัวพิมล) ทำให้เธอและลูกบุญธรรมอย่าง “โหม๋” (อิงฟ้า วราหะ) จึงย้ายเข้ามาอยู่ในสวนทุเรียนแห่งนี้
เอาเข้าจริง ตัวละครอย่าง แม่แสง ก็ถือเป็นเหยื่อของความเหลื่อมล้ำในด้านกฎหมายที่เธอนั้น ไม่สามารถที่จะได้รับมรดกต่อจากสามีเนื่องจากไม่ได้เป็นภรรยาที่ผ่านการสมรส การมีลูกจึงเป็นทางออกเดียวที่จะรักษาสมบัตินี้ไว้ เสก จึงเป็นดั่งการลงทุนในระยะยาวของเธอ ความตายที่มาเยือนลูกหัวแก้วหัวแหวนจึงไม่ได้มีแค่เรื่องของความรักต่อลูกชาย แต่ยังรวมถึงความสบายที่เฝ้าคอยมาทั้งชีวิต
ตัวละครอย่าง โหม๋ ก็เช่นกัน เพราะเธอไม่ได้ถูกรับรองเป็นลูกอย่างถูกกฎหมาย แม้ว่าจะดูแลแม่เเสงมาตลอด 20 ปี ทำให้ตัวเธอนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนใช้ในทางกฎหมาย
ไหนจะมีเรื่องความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น สวัสดิการรัฐที่ไม่ครอบคลุม การคมนาคมที่ไม่ทั่วถึง การเป็นคนชายขอบที่ไม่แม้แต่จะสามารถเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ได้ แม้แต่อาหารที่สะอาดหรือบ้านที่คุ้มกะลาในวันที่ฝนสาดใส่ เมื่อทุกคนมีความจำเป็นปวด การตะเกียกตะกายชนชั้นจึงเริ่มต้น ฉนวนของสงครามแก่งแย่งวิมานสังกะสีนี้จึงถูกจุดขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจ คือการที่ภาพยนตร์พยายามชี้ภาพชัดให้เราเห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางเพศในประเทศที่สังคมอยู่ภายใต้ร่มชายเป็นใหญ่ผ่านกลวิธีที่ทั้ง ทองคำ และ โหม๋ ใช้ห่ำหั่นกัน เพราะทั้งสองต่างก็เป็นเพศที่การให้ความสำคัญและการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ นั้นถูกจำกัดจำเขี่ย
สิ่งที่ทองคำไม่สามารถทำได้คือการมีลูกเพื่อสืบทอดและการจดทะเบียนสมรส กลับกันในทางหนึ่ง ทองคำก็สามารถที่จะหยิบยืมความเป็นชายมาใช้ผ่านการที่เขาสามารถที่จะบวชให้กับแม่แสงได้ และยังเข้าถึงการศึกษาได้มากกว่าโหม๋ที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้นว่าจะต้องถูกจำกัดชีวิตอยู่แค่การทำงานบ้านและเลี้ยงดูแม่แสงไปตลอดชีวิต
ในทางเทคนิค ด้วยแนวทางของภาพยนตร์ที่เป็นนั้น การดึงตัว “ตะวันวาด วนวิทย์” มาเป็นผู้กำกับภาพก็นับเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาด เพราะด้วยจิตวิญญาณแห่ง Street Photography ความกระด้างกระเดื่องของการคิดภาพจึงมีสูงมาก camera movement ที่น้อย ความชำนาญในการเล่นเลเยอร์ที่เฉียบคมก็สร้างสภาวะการเสียดสีได้อย่างเจ็บแสบและขบขันอยู่ไม่น้อย
ในซีนที่มีความโรแมนติกมันจึงไม่ได้ดูนุ่มนวลขนาดนั้น ซึ่งด้วยมวลรวมของภาพยนตร์แล้วมันถูกต้องอย่างมาก ในฐานะที่เราชื่นชอบและติดตามงานภาพสตรีทอยู่แล้ว ก็ตบเข่าฉาดในโรงภาพยนตร์อยู่ไม่น้อยในหลายๆ ช็อต ในส่วนอื่นของภาพบรรยากาศบนจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น ตะวันวาดก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีไม่แพ้กัน
ผนวกกับซาวด์และสกอร์ของภาพยนตร์ ที่ก็มีผลอย่างมากต่อการสร้างความหวาดระแวงและบรรยากาศมวลรวม ซึ่งก็เห็นได้ชัดอีกว่าผู้สร้างมีความใส่ใจต่อดีพาร์ทเมนต์นี้อยู่ไม่แพ้กัน
ความน่าเสียดายเดียวของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือองก์สามที่เทียบท่าได้ไม่ค่อยสวยนัก ซึ่งเราคิดว่าเป็นเพราะตัวผู้กำกับคงจะเลือกเส้นทางนี้ไว้ใจอยู่ก่อนเเล้ว และพยายามจะหาวิถีทางลงในตอนท้าย
หากแต่เพียงสิ่งที่พยายามวางรากฐานไว้มันยังไม่แน่นเพียงพอ อีกทั้งยังเกิดจากเงื่อมมือของตัวละครที่เราไม่รู้จักมากนัก และไม่เห็นแรงจูงใจที่เด่นชัดเท่าที่ควร จึงทำให้เรารู้สึกเบาหวิวไปเสียแบบนั้น กลับกันหากตัวผู้สร้างเลือกจะหยิบยืมมือของตัวละครที่ผู้สร้างพยายามบีบคั้นมาตั้งแต่แรก การพยายามจะแฮงก์ในแนวทางนี้คงจะทำให้ผู้ชมรู้สึกจมดิ่งได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม วิมานหนาม ก็ยังถือเป็นภาพยนตร์ที่ถือเป็นก้าวสำคัญของ GDH อยู่ไม่น้อย ในแง่ที่มันใส่ใจในทุกรายละเอียดของภาษาภาพยนตร์มากกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งทำให้เราเห็นถึงความตั้งใจ ความพยายาม และความเก่งกาจของการสรรค์สร้างงานศิลปะของผู้สร้างที่ทำออกมาได้เกินมาตรฐานอยู่อย่างชัดเจน
สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้ คือไม่อยากให้มีการพยายามมองหาหรือแบ่งแยกว่าตัวละครไหนร้ายหรือดี หรือดูแล้วจบที่ผลักให้คนนั้นดี คนนี้เลว แบบที่สังคมไทยชอบทำเวลาเสพย์ข่าวจากสื่อ เพราะหากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เราจะพบว่าคนร้ายของเรื่องนี้ก็คือ ความเหลื่อมล้ำที่กัดกินสังคมอยู่ในทุกมิติ จนมันเป็นรากของปัญหาทุกอย่างที่ก่อให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น ซึ่งคนที่มีส่วนในการรับผิดชอบและเเก้ไขมันในตอนนี้ ก็กำลังวุ่นวายกับการแบ่งตัดชิ้นส่วนเค้กกันอยู่แบบไม่ละอายใจต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศแม้แต่นิดเดียว
โฆษณา