1 ก.ย. เวลา 04:04 • ความคิดเห็น

การวางอุเบกขา..ทำได้ยากจัง

#ถาม.. เห็นด้วยมั๊ยว่า การวางอุเบกขานั้นยากจัง เวลามีอะไรที่ไม่ต้องใจเข้ามากระทบประสาทสัมผัส ก็จะปรุงแต่งตอบโต้ตามความเคยชินทันที แล้วจะสั่งสมกิเลสใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องพยายามฝึกจิตอย่างมากและทำบ่อยๆ แค่สวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญ ร่วมพิธีกรรมต่างๆ แค่นั้นไม่พอหรอก
#ตอบ 1.. จริงค่ะ..การทำบุญ ไหว้พระ และร่วมพิธีกรรมต่างๆ อย่างฉาบฉวย เป็นวิธีการที่ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยชอบทำกันอยู่นั้น ยังไม่ใช่วิถีทางแห่งปัญญาเพื่อการพ้นทุกข์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็เป็นที่นิยมกัน เพราะทำง่ายไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร
แต่การรักษาศีล บำเพ็ญสมาธิ และการภาวนาเพื่อสร้างปัญญา จึงจะเป็นวิถีทางปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ตามคำสอนอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องทีต้องใช้ความพยายาม ความเพียร ความมานะอดทนและไม่ท้อถอยอย่างมาก จึงจะสามารถวางอุเบกขาได้ ชาวพุทธเรายังขาดคุณสมบัตินี้ จึงย่อหย่อนและวนเวียนทำแต่สิ่งง่ายๆที่เป็นเปลือกและกะพี้ของคำสอน และยังวนเวียนอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ไม่รู้จบสิ้น
#ตอบ2.. หนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา คือ อริยสัจ4 นั่นเอง ดังนั้นเมื่อเราเริ่มต้นด้วยการรักษาศีลให้มั่นคง แล้วก็จะสามารถฝึกสมาธิให้เข้มแข็งและมีพลังมากขึ้น
จากนั้นเราก็ฝึกปฏิบัติวิปัสสนาต่อ โดยเมื่อพบกับเวทนา(ความรู้สึกที่ประสาทสัมผัส)ใดใด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ชอบหรือไม่ชอบ ก็จะพยายามไม่สร้างสังขาร(การปรุงแต่ง)ต่อเวทนานั้นๆ ที่จะเป็นการสั่งสมกิเลสใหม่ให้เกิดทุกข์เพิ่มขึ้น แต่จะพยายามตั้งสติและวางอุเบกขา(วางเฉย,ปล่อยวาง)กับเวทนานั้นๆ ปฏิบัติซ้ำๆจนเกิดความชำนาญและเคยชิน
เมื่อฝึกบ่อยๆก็จะสามารถวางอุเบกขาได้โดยอัตโนมัติเอง ทำให้กิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์จะค่อยๆหลุดลอกออกไป จึงจะพ้นจากความทุกข์และพบกับความสงบสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นวิถีทางแห่งการสร้างปัญญานั่นเอง
#ตอบ3.. ก่อนจะวางอุเบกขา จิตจะเห็นจิตคือเห็นการปรุงแต่งตอบโต้เป็นเรื่องปรกติค่ะ เอาปัญญากับกิเลสมาโต้กันให้สุดสุดไปเลย ว่าใครจะยอมก่อนกัน ถ้าเอาลงได้ก็จะหลุดคือปล่อยวางไปเอง ไม่ต้องสงสัย จงสู้ต่อไปค่ะ
การฝึกปฏิบัติธรรมของตนเองใช้วิธีการมองจิตตนเอง พิจารณาทุกข้อสงสัย เหมือนเชื้อโรคเข้ามา แล้วเม็ดเลือดขาววิ่งเข้าไปรุมจับ แล้วสับสับสับ เคลียร์จิตตนเอง จนไม่ลังเลสงสัยตลอดสาย จิตด้านหนึ่งเห็นคุณ~โทษ เข้าใจทั้งระบบ เขาจะวางไปเอง ทำให้เข้าใจในธรรม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อุเบกขาก็เกิด นี่คือกระบวนการของการวางค่ะ
#ตอบ4.. ครับ.. มันยากที่จะวางอุเบกขา เพราะรอบตัวมีแต่สิ่งเร้า เร้าเราให้โลภ โกรธ หลง ทุก ๆ ขณะจิต ถ้าจิตเรายังฝึกให้นิ่งสงบไม่ได้ อาจจะต้องปลีกวิเวก ถือเนกขัมมะอย่างนักบวช เป็นต้น
การอยู่ในสภาพสังคมทางโลกแบบนี้ มันคืองานหินเลยล่ะ อยู่ในที่ที่แวดล้อมไปด้วยคนที่มีจิตไม่แข็งแรงเยอะแยะ จิตเราย่อมมีโอกาสถูกกระแสของความไม่แน่นอนจากบุคคลเหล่านี้พัดพาไปมาได้ตลอดเวลา
#ตอบ5.. การทำบุญแบบฉาบฉวย ไม่ใช่ไม่พอ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยด้วยซ้ำ มันไม่ได้ทำให้จิตเรามีที่มั่นให้ยึดเกาะได้เลย
การทำบุญ ต้องทำด้วยความเมตตาเป็นที่ตั้ง ถึงจะมีผลต่อจิตได้ แต่กระนั้น การทำบุญก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวช่วยให้จิตเรามีความมั่นคงขึ้น เพราะไม่ได้ยึดติดอะไรที่จะทำให้เอนเอียงไปมาได้ระดับหนึ่ง และช่วยได้แค่ระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
ฉะนั้นถ้ายังไม่สามารถฝึกจิตให้มั่นคงได้โดยวิธีอื่น การทำบุญด้วยความเมตตาบ่อย ๆ ก็ยังสามารถช่วยให้จิตเราลดความโลภ โกรธ หลงได้ เพราะเราให้ทานไร้ความยึดติดความคิดที่เป็นเจ้าของลง
 
การทำทานไม่ได้ทำให้เกิดปัญญายังคงไหลไปตามสัญญา มีอะไรกระทบใจก็ยังกระเพื่อมปรุงแต่งไปตามอาการรับรู้ ต้องฝึกจิตให้มีสติ จะได้มีภูมิธรรมเหนืออารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบครับ ไม่ปรุงแต่งให้ค่าไปตามสัญญาเพราะมีปัญญาที่เหนือสัญญาครับ
ฯลฯ
โฆษณา