2 ก.ย. เวลา 06:40 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

รีวิวซีรีส์เกาหลีน้ำดี : กูแฮรยอง นารีจารึกโลก

………
สมัยดึกดำบรรพ์ผู้ชายแข็งแรงกว่าผู้หญิง จึงมีหน้าที่เข้าป่าล่าสัตว์หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว ทำให้เกิดวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ซึ่งไม่ว่าชาติไหน ประเทศไหนก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้
ปัจจุบันค่านิยมของสังคมแบบนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่บางสังคมก็ยังมีให้เห็น
เคยอ่านบทความหนึ่งบอกว่าสาเหตุที่เกาหลีชอบสร้างแต่หนังแนวรักโรแมนติกเป็นเพราะ สื่ออยากจะชี้นำสังคม สังคมเกาหลีผู้ชายจะเป็นใหญ่มานานแล้ว ไม่ให้ความสำคัญกับผู้หญิง ทำให้พบว่ามีปัญหาในครอบครัว สามีมักทำร้ายภรรยาเป็นข่าวให้เห็นบ่อยครั้ง
เรื่องราวซีรีส์เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยปลายราชวงศ์โชซอนที่ความเจริญจากประเทศฝั่งตะวันตกกำลังหลั่งไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย
เกาหลีใต้ในสมัยนั้นต่อต้านประเทศมหาอำนาจตะวันตก กลัวอิทธิพลมาครอบงำประชาชน ระบบกษัตริย์และขุนนางรุ่นเก่าก็ยังยึดมั่นในชาตินิยมใครมีความคิดฝักใฝ่ชาติตะวันตกหรือนับถือคาทอลิกจะมีโทษหนัก เผาทำลายหนังสือต้องห้ามที่มาจากฝั่งตะวันตก ไม่ยอมรับความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่เช่น การปลูกฝีดาษ การเย็บแผล เรียกคนตะวันตกว่าพวกคนเถื่อน
นางเอก ชื่อว่า กูแฮรยอง เป็นสาวทึนทึกในโชซอนที่ไม่ยอมถูกคลุมถุงชนแต่งงาน นิสัยรักอิสระ เธอชอบอ่านหนังสือหาความรู้โดยเฉพาะหนังสือจากประเทศฝั่งตะวันตกที่เริ่มเข้ามา ในห้องนอนเธอมีแผนที่โลกติดฝาผนัง
เธอรับจ้างอ่านหนังสือให้ผู้คนฟัง เพราะสมัยนั้นคนอ่านออกเขียนได้มีน้อย หนังสือที่คนชอบให้เธออ่านมักจะเป็นหนังสือแนวรักโรแมนติกจิกหมอน
พระเอกในเรื่อง คือ องค์ชายอีริมที่อ่อนต่อโลก ถูกจำกัดบริเวณในวังด้วยความลับบางอย่าง ความเหงาและโดดเดี่ยวทำให้เขาเป็นคนชอบอ่านและเขียนหนังสือ จนเป็นนักเขียนนิยายรักโรแมนติกที่ขายดิบขายดี
นางเอกกับพระเอก พบกันในร้านขายหนังสือในฮันยาง ครั้งแรกที่เจอก็ไม่ถูกชะตากัน เพราะนางเอกบอกว่าไม่ชอบนิยายแนวที่พระเอกเขียน
กูแฮรยองถูกจ้างแกมบังคับให้สวมรอยเป็นนักเขียนไปแจกลายเซ็นหนังสือในงานพบปะแฟนคลับ แทนพระเอกซึ่งเป็นนักเขียนที่ไม่มีใครรู้จัก องค์ชายอีริมรู้ข่าวก็ตามมาในงาน จนถูกเปิดเผยว่า นักเขียน คือ พระเอก แต่ประชาชนก็ยังไม่รู้จักว่าเขาเป็นองค์ชาย
ต่อมา กูแฮรยองสอบบรรจุเป็นอาลักษณ์หญิงในวังหลวง มีโอกาสได้พบกับองค์ชายอีริมทำให้สานความสัมพันธ์เป็นความรัก และได้เจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ในวัง
เรื่องราวของซีรีส์ดำเนินไปจนสุดท้ายความจริงถูกเปิดเผยว่า กูแฮรยองเป็นลูกสาวของอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียนเปิดสอนตามแนวแพทย์ฝั่งตะวันตกแล้วถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ส่วนองค์ชายอีริมก็เป็นโอรสของกษัตริย์ที่ถูกกล่าวหาว่านอกรีต
กูแฮรยองและองค์ชายอีริมเมื่อรู้เรื่องราวในอดีตจึงพยายามต่อสู้เรียกร้องให้ฮ่องเต้เปิดเผยความจริง หนังเรื่องนี้ก็จบแบบแฮปปี้เอนด์ดิ้ง
จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่อยากจะพูดถึงมี 2 เรื่อง
1. หนังออกแนวให้ความ สำคัญกับผู้หญิง สนับสนุนผู้หญิงให้เก่ง กล้าเป็นตัวของตัวเอง ผู้หญิงในยุคโบราณถูกขนบธรรมเนียมและประเพณีต่างๆ กดชีวิตของพวกเธอเอาไว้อยู่ภายใต้บุรุษ เมื่อแต่งงานแล้วสามีเป็นใหญ่ต้องเชื่อฟังสามี ไม่อาจทำสิ่งใดได้อย่างอิสระ
พระเอกเรื่องนี้ถูกวางบุคลิกภาพตรงกันข้ามนางเอกให้เป็นคนอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ซึ่งแตกต่างจากซีรีส์เรื่องอื่น ๆ ขำมุกตอนที่นางเอกบอกว่าจะไม่พาองค์ชายไปไหนมาไหนด้วยเพราะเป็นภาระ ทำอะไรไม่เป็น
สงสัยว่าหนังเรื่องนี้อยากจะสื่อถึงผู้หญิงผู้ชายว่าไม่จำเป็นต้องมีบุคลิกตามค่านิยมสังคม พระเอกถึงแม้จะคนอ่อนแอไม่เข้มแข็ง แต่ก็เป็นคนอ่อนโยนรักเดียวใจเดียว ผู้ชายลักษณะแบบนี้ก็มีเสน่ห์ได้เหมือนกัน ผู้หญิงก็สามารถจีบผู้ชายได้อยากจะจับมือ อยากจะจูบก็ทำได้เลย ไม่ต้องรอฝ่ายชายเริ่มก่อน
2.ความสำคัญของการเขียน หรือ จดบันทึก หนังเรื่องนี้นำเสนอว่าในสมัยนั้นเกาหลีมีตำแหน่งอาลักษณ์มีหน้าที่จดบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่คือบันทึกเรื่องราวของราชวงศ์ เพื่อให้ผู้สืบทอดรุ่นต่อไปได้รับรู้ ทุกครั้งที่มีข้าราชบริพารเข้าเฝ้าราชวงศ์แต่ละองค์จะต้องมีอาลักษณ์อยู่ด้วยเสมอ
การทำงานเป็นอารักษ์เป็นการทำงานที่เป็นอิสระ บันทึกนั้นห้ามเปิดเผย จะไม่ถูกตรวจสอบจากผู้มีส่วนได้เสียผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือใครก็ตามเป็ึนการบันทึกประวัติศาสตร์ ให้คนรุ่นหลังได้อ่านและตัดสินเอาเอง
คำพูดของอาลักษณ์รุ่นพี่ของนางเอกพูดให้แรงบันดาลใจว่า
“แม้แต่อิทธิพลของเสนาบดีที่ทรงอำนาจที่สุดก็อยู่ได้เพียงไม่กี่ 10 ปี แต่คำของอาลักษณ์คงอยู่อย่างเงียบ ๆ ได้หลายพันปี”
ชอบหัวหน้าเหล่าอาลักษณ์ ตอนแรกดูบุคลิกไม่น่านับถือ ไม่น่าศรัทธานัก แต่พอดูไปดูมาเขาเป็นหัวหน้าที่รู้จักใช้ทั้งพระเดชและพระคุณดูแลลูกน้อง เขาไม่ยอมให้ฮ่องเต้มาตรวจสอบบันทึก หรือ ที่เรียกว่า ซาแซก ทั้ง ๆ ที่ลูกน้องบางคนเสนอว่าให้ยอม ๆ ไปเพราะเกรงกลัวอำนาจบารมี แต่หัวหน้าคนนี้บอกว่ายอมไม่ได้ เพราะถ้ายอมให้อ่านแล้ว ก็จะมาบอกให้แก้ไขบันทึกตามใจฮ่องเต้ การทำหน้าที่อาลักษณ์จะไม่เป็นอิสระ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีเกียรติศักดิ์ศรีอีกต่อไป เรียกว่าเขาเป็นหัวหน้าที่มีหลักการและเป็นมืออาชีพทีเดียว
สมัยนี้เป็นยุคข้อมูลข่างสารท่วมท้น หลั่งไหลผ่านโซเชียลมีเดีย จนแยกไม่ออกว่าเรื่องไหนจริงไม่จริง ถ้ามีอาลักษณ์แบบในยุคโชซอนมาช่วยกันเขียนบันทึกเรื่องราวที่ถูกต้องน่าจะดี
ถึงแม้จะเป็นซีรีส์เกาหลีย้อนยุค แต่ดูเหมือนจะใส่แนวคิดสมัยใหม่ลงไปด้วย สะท้อนความคิดเห็นที่แตกต่างระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่าไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงประเทศ ด้วยยึดติดว่าบรรพบุรุษสร้างบ้านแปลงเมืองมาก่อนลูกหลานควรจะเจริญรอยตาม แต่คนหนุ่มสาวมีความคิดอยากจะให้บ้านเมืองก้าวหน้าทันสมัย
หนังเรื่องนี้ก็สนับสนุนให้คนหนุ่มสาวยึดมั่นในความคิดเห็นของตัวเอง มุ่งมั่นทำตามฝัน ทุ่มเททำงานตามอุดมการณ์ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี
สรุปว่าเป็นหนังที่ดูง่าย ดูเพลิน ไม่มีดราม่าหนัก แต่มีเนื้อหาสาระกระตุ้นให้นำไปคิด คุ้มค่ากับการดูจริง ๆ ค่ะ
อ้อยคราฟต์ไดอารี่
โฆษณา