2 ก.ย. เวลา 13:30 • ความคิดเห็น
เป็นคำถามที่ตอบแล้วไม่ค่อยเป็นคุณ เกิดขึ้น เพราะผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ ที่จะไปตรัสรู้ เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้า ซึ่งท่านก็เดินตามรอยพี่ชายของท่าน ท่านบอกว่า สิ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า .ท่านก็ทิ้ง มีทั้งที่ไม่ดี ก็ทิ้ง สิ่งที่ดีๆ ท่านก็ทิ้งฝากไว้ กับดินฟ้าอากาศ ท่านก็บอกว่า ท่านก็เดินตามรอยพี่ชายท่าน
เมื่ออยากเดินตามรอยไปเจอะเจอท่าน ก็ให้ทำตามรอยขอรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ให้ทำตามรอยพี่ชายท่านไป สร้างบุญสร้างกุศลไป ฝึกหัดยืนเดินนั่งนอน ทำให้กายนิ่ง จิตเฉย ..กายนิ่ง จิตเฉยได้ ..กายนั้นก็เป็นกายของผู้ที่มีบุญ เป็นกายบุญเกิดขึ้น
ท่านบอกให้ทำตามรอยของพี่ชายท่านไป เพราะพี่ชายท่านก็ทำ กายนิ่ง จิตนิ่ง เป็นกายบุญ กายนิ่งจิตนิ่งได้ อารมณ์มันก็ไม่เกิด ..ว่างเว้นจาออารมณ์กรรมตัวกระทำ จิตก็มีแสงรัตนะส่องลงไปที่จิต แล้วยังมีหูทิพย์ตาทิพย์ มีพระอรหันต์ ที่มีกายเป็นแก้ว ท่านอธิฐานใช้กายนี้ อยู่ต่อ เพื่อที่จะช่วยพยุงศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปจนครบห้าพันปีก็มีอยู่ ..แต่ท่านก็ไม่ออกมาให้ใครพบเห็น
..เรื่องราวของจิตที่เป็นพระอรหันต์ จิตท่านหุ้มห่อด้วยแสงรัตนะ .สว่างไสว ..จิตที่มีกรรม..ก็เข้าใกล้ไม่ได้ ยิ่งเป็นนามธรรม เหลือแต่จิต เข้าใกล้ไม่ได้เลย เข้าไปก็ร้อน เหมือนถูกพายุหมุนเหวี่ยงออกไป เรื่องราวของพระอรหันต์นั่นยากที่จะพบเจอ . ยิ่งคนเราหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์กรรม มั่งมั่นที่จะให้จิตมีกรรม
แล้วท่านก็ยังบอกว่า เดี๋ยวนี้ จิตของมารมันมากมายก่ายกอง เค้ามาครองมาดำรงตนในเครืองหมายของธรรม กลับครองเครื่องหมายธรรมนี้ไปสร้างกรรม สิ่งที่ได้ ก็ค่อกรรมที่มันหนักขึ้น ครองผ้าเหลือง ไปท่องคาถาอาคม ไปข่มแหงรังแก่ จ้ตคนนั่นคนนี่ ทำตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ อวดกรรมให้โลกเค้ารู้ ว่า จิตดวงนั้น กำลังดำเนินตามรอยเทวทัตไป ไปแล้วหายลับ ลงนรกอเวจี นับเวลาไม่ได้
ท่านยังคอย หนุนนำ แนะนำสอน อุบาสก อุบาสิกา ว่าเมื่อครั้ง ต้นพุทธกาย เค้าใช้กิริยาดี ใช้กายวาจาใจอย่างนี้ รวบรวบจิตให้เป็นหนึ่ง ค่อ กายวาจาใจ ธาตุนะโม ธาตุทั้งสี่ ขันธ์ทั้งห้าวิญญาณทั้งหก น้ำเลือดน้ำหนองของผู้มีกรรม
..จิตของข้าพเจ้ามีพระเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์อัครสาวก เป็นที่พึ่ง มีความนอบน้อม เห็นความสำคัญของกายบิดามารดา เห็นวัตถุที่ตนเองที่ไปหามาด้วยความเหนื่อยยาก ด้วยแรงกายของตนไปหามา ใช้อารมณ์ต่างมากมาย ก็นำวัตถุนั้นมา แปรสภาพให้เป็นบุญกุศล น้อมถวายต่อเครื่งหมายของธรรม มิใช่ตัวตนบุคคลที่ครองผ้าเหลือง นอบน้อมถวาย วางสละนั้นออกไปด้วยความบริสุทธิ ไม่เรียกร้องเอาคืน สิ่งที่ตนเองสร้างบุญกุศล
สิ่งเหล่านี้ดินฟ้าอากาศเป็นสักขีพยาน ธาตุทั้งสี่ที่ตนอาศัย ก็บันทึกเรื่องราวคำว่า บุญ ตาบันทึกภาพ หูบันทึก เสียง ตาเราก็มองจ้องนิ่ง อยู่ที่มือที่หยิบของขึ้นมาถวาย ปากเราก็เปล่งวาจา นอบน้อมในการถวาย ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราใช้กิริยาท่าทางที่ดีมากระทำ หากเราเผลอสติ เอาตาไปดูหมาแมว ตาเราก็บันทึกภาพหมาแมวมาทำบุญสร้างกุศล ..ลงไปที่ธาตุทั้งสี่ เพราะจิตไม่เห็นความสำคัญ มองดูมือพ่อแม่ที่ตนอาศัยนำมาสร้างบุญกุศล
ท่านบอกให้หมั่นเพียร สร้างบุญกุศล ปฏิบัติธรรมขึ้นมาให้กายกรรม เป็นกายของบุญ พระอรหันต์ทุกพระองค์ท่านก็หมั่นเพียร ทำกายให้เป็นกายบุญ กายบุญก็คือกายของเทพยดาอินทร์พรหม
เมื่อกายบุญเกิดขึ้น ก็นำกายบุญไปประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้น ..ปฏิบัติธรรมเพื่อจะปลดเปลื้อง เศษของกรรม ที่ติดอยู่ในธาตุทั้งสี่ พระน้องชายบอกว่า ใหสร้างบุญกุศลขึ้นมา เพื่อไปร่วมสร้างศาสนาของอาตมา ตือ ศาสนาพระศรีอรยเมตไตรย ที่ผู้คนที่ไปเกิด มีแต่ความเมตตา เอื้อเฟื่อ .เห็นอกเห็นใจกัน ..ท่านบอกให้หมั่นเพียรสร้างบุญกุศล ประพฤติปฏิบัติธรรม ตามรอยพระพี่ชายท่านไป
เรื่องราวที่จิตเราเป็นปุถุชนนั้น เราก็ควรใช้เหตุผลให้มากๆ ท่านบอกให้ดูรอยพระสิทธัตถะมากๆ รอยพระเวสสันดรมากๆ ทำความเข้าใจ เรื่องที่ยากจะเข้าใจ เรื่องที่เศรษฐี ทิ้งทรัพย์สินเงินทอง บ้านช่อง ..พูดบอกว่า ใครอยากได้ก็เอาไป แล้วก็เดินเข้าป่าด้วยเสื้อผ้าชุดเดียว ไปชำระสะสาง กรรมที่อยู่กัยธาตุทั้งสี่ที่อยู่กับดินฟ้าอากาศ ต้องชำระสะสางให้หมดสิ้น
ว่าแต่ว่า เราเป็นจ้ตน้อยๆ ใช้อารมณ์โลภโกรธหลง เรารู้จักอารมณ์นันมั่ย ที่จูงจิตไปสร้างกรรม เพิ่มพูนให้มากมายก่ายกอง เราเคยจะลดละมันบ้างไหม เคยคิดที่จะรู้จักอารมณ์กรรมตัวกระทำมั้ย . จิตน้อยๆอยู่กับโลก ก็เพลิดเพลินไปตามแสงสี่ของโลก ที่ทำให้หลงใหล . ก็เลย ไม่เคยพินิจพิจารณา ที่ได้กายมนุษย์นั้นมีความสำคัญแก่จิตของตน ที่ต้องเดืนทางต่อเมื่อหมดกาย
.นั่นจึงเป็นเรื่องราวของจิต ที่เคยสะสม เดืนตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยกระทำมา ก็มากระทำต่อ สร้างบุญกุศลต่อ เพื่อให้ไปทัน ฟังธรรมจากท่าน ที่เป็นเหม่อนแสงพระอาทิตย์ ที่จะช่วยให้เห็นสิ่งที่เป็นอณูธุลี ที่ตานั้นแม้ว่าละเอียด ก็ต้องอาศัยแสงพระอาทิตย์ ช่วยเหลือ ส่องชำระสิ่งสกปรกให้หมด ให้กายเป็นกายอแก้ว ไม่ใช้แก้วธรรมด เป็นแก้วเจียระไน ผุดผ่อง ไม่มีอะไรจะมายึดเกาะได้เลย
เรื่องราวของพระ ที่เราเองก็ยากจะเข้าถึง รู้จัก ..พระอเสขะ ..ว่าท่านปฏิบัติธรรมอย่างไร เราเป็นปุถุชนจะอ่านจิตที่สูงๆไม่ได้เลย ..แต่จิตที่สูง ท่านอ่านจิตออก เราเคยถามท่านเรื่อง กสิณ ท่านบอกว่า ฉันก็ได้กสิณไฟ ..เราก็ถามท่านว่า เป็นอย่างไร ..ท่านก็ดูเทียนจน เปลวไฟนั้น จนเปลวไฟนั้น แตกออกมา เป็นดอกพิกุล ร่วงหล่นลงมา
.. ท่านบอกว่า อย่าเอามันเลย มันเรื่องเห็นตัวเองดีแล้วอวดเก่งอวดดี เรื่องอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช ทำให้คนเห็นผิด ดูว่าจิตดวงนั่นเป็นเหมือนดอกบัว แต่ไม่รู้ว่าดอกบัวนั้น มันดอกบัวที่เป็นพิษ เอาตาไปดูเอาหูไปฟัง วิญญาณทั้งหกก็ถูกพ่นพิษใส่ ตามันก็มัว หูก็ตึง มองไม่เหมือนกันทางเดินตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..จิตที่ไปสัมผัส ไปยึดถือ ก็เลยเดืนตามทางไปหาทุกข์ ตามรอยเทวทัตไป
เรื่องธาตุนะโม นั่น พระโมคคลัลลา ท่านบอกว่า ..เรื่องธาตุพ่อแม่ พระคุณพ่อแม่นั้น ต้องระมัดระวัง ต้องรู้จักกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ เพราะเมื่อผิดพลาดใช้ธาตุพ่อแม่ กลับไปทำร้าย ทำลายพ่อแม่ ก็หมดโอกาส จะมีธาตุพ่อแม่ดีๆให้ใช้ ยาวนาน ต้องไปผจญความทุกข์ทรมาน อียาวนาน ..เมื่อไม่รู้จักพระคุณพ่อแม่
พระอรหันต์ เวลาท่านกราบพระ ท่านนั่งตัวตรง เหมือนเสา ตาท่านก็ไม่หวั่นไหวไปไหน นิ่ง ทุกสัดส่วนของกายนิ่ง
ก่อนจะกราบพระ ท่านพูด จิตของข้าพเจ้าอาศัยอยู่เรือนกายของคุณบิดามารดา ข้าพเจ้าของนำธาตุทั้งสอง จิตทั่งสองของบิดามารดา และนามธรรมของบิดามารดามากราบพระ ท่านบรรจงนอบน้อมในการกราบ ตาท่านจ้องมองดูที่มือ มือซ้ายมาดา มือขวา บิดา ..แผ่มือซ่้ายมารดาออกไปมือขวาบิดาแผ่ออกไป วางมือทั้งสองของซ้ายมารดา ขวาบิดา จิตของลูกก้มลงตามลงไป สัมผัสธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดานำธาตุทั้งสองของคุยบิดามารดามากราบพระ ท่านทำช้าๆ มีสติสัมปชัญญะในการกราบ
เรื่องราวพวกนี้ เราก็ไม่เคยเห็นเคยรับรู้ แล้วเราลองหันมามองตัวเอง เวลากราบพระ เราระลึกอะไรบ้าง .มีสติสัมปชัญญะในการเคลื่อนไหวของกายขิงมือในกายกราบมั้ย หรือว่า มันเป็นอารมณ์นึกคิดไปเสียทั้งหมด คือ เอาอารมณ์มากราบ ไม่ได้เอาจิตมากราบพระ มันจึงเป็นอารมณ์กรรมไปเสียทั้งหมด กราบพระทั้งที จิตไม่ได้อะไรเลย
นั่นก็คือ จิตนั่นไม่เห็นความสำคัญนการชี้กายวาจาใจมากราบพระ แล้วธาตุทั้งสี่ที่เป็นสักขีพยานของจิตมก็ไม่มีการบันทึก การกระทำที่ดี ๆท่านจึงบอกว่า มือทำลุกลี้ลุกลน นั่นกิริยาของมนุษย์ หรือ ไปเอากิรยาของลิงมากราบ .ธาตุทั้งสี่ก็บันทึกกิริยาท่าทางที่เราทำไว้เก็บไว้ให้
สิ่งที่เขียน เล่ามานั้น พระท่านบอกว่าอย่า เชื่อ .แม้พระอรหันต์ ท่านก็บอกว่า ท่านก็ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ..แต่ท่านก็มีสติปัญญากลั่นกรองเหตุผล ฟังธรรม แล้วก็ไปพิจารณากลั่นกรอง เมื่อเห็นว่าดี ก็นำไปฝึกหัดปฏิบัติธรรมขึ้น ท่านทำขึ้น ให้กายนิ่ง จิตนิ่งด้วยขันติบารมี .ให้กสายนั้นเป็นธรรม จิตก็เป็นธรรมเกิดขึ้น
..เรื่องราวเหล่านี้มันมีรายเอีอดมากมายก่ายกองตามที่พระท่านเล่าให้เราฟังมา เราก็จำๆมาเล่า .บ้าง ..แต่อย่าเชื่อ ..เพราะต้องพิจารณากลั่นกรองเหตุผลกันเอง . จะเดืนไปทางไหนดี สร้างสะสมการกระทำที่ดีไปกับจิต .ที่จะบรรลุกรรม หรือบุญกุศลบารมี
เมื่อมีกายมนุษย์ จะเอากายไปบรรจุ ไปสักลาย สักยันต์ไปลงคาถาอาคม กายมันจะบริสุทธิ์ได้มั้ย ไปเสาะแสวงหากรรมอย่างไรก็ไม่มีใครว่า เป็นสิทธิของผู้นั้น ที่เป็นใหญ่ในเรือนกาย
แม้แต่เทวทัต ..พระพุทธเจ้า ก็บอกกล่าว แต่เทวทัต ก็เชื่ออารมณ์กรรมของตนเอง ทำไปตามความทะเยอทะยาน ที่จิตหนึ่งคิดครองศาสนา จะเป็นศาสดา ..ทะเยอทะยาน สอนให้คนเค้าชิงทรัพย์สมบัติพ่อแม่ สอนให้คนทำร้ายพ่อแม่ เป็นศาสดาสร้างกรรม ก็ต้องเดินทางของกรรม ..ดินฟ้าอากาศ เป็นสักขีพยานให้ ไปประกอบกายให้ในนรกอเวจี นั่นแหละที่เค้าว่า เสียชาติเกิดมามีกายเป็นมนุษย์มีธาตุนะโมที่ดี. กลับใช้ธาตนะโมไม่เป็น ใช้ไปทางหาทุกข์ให้แก่จิตของตน
เรามาฟังเรื่องหนึ่ง เรื่องเราเขียนบอกว่า กายนิ่ง จิตเฉย จิตนิ่ง พระอานนท์ถึงตอนที่ พระพุทธเจ้าจะพาไปขึ้นสวรรค์ พระพุทธเจ้า บอกให้ทำกายนิ่ง จิตเฉย พระอานนท์ ก็ทำตาม ทำได้แป็บเดียว ก็ยุบแฟ๊บลงมา
พระพุทธเจ้า ก็บอกว่า ให้ดูพี่นี่ ดูที่พี่ทำ พอท่านพูดกล่าว กายนิ่ง จิตเฉย ปุ๊บ ..กายนี้แข็งเป็นหินเป็นเสาไปเลย พระอานนท์ท่านก็ทำตาม ขึ้นไปชั้นดาวดึงส์ ไปเจอท้าวสักกะเทวราช ที่นำพานางฟ้าที่สวยที่สุด มาให้ดู .พระพุทธเจ้าถามว่า อยากแต่ง กับเค้ามั่ย พระอานนท์ก็บอกว่า อยากแต่ง พระพุทธเจ้า ก็บอกให้ทำกายนิ่ง จิตเฉยๆ แล้วดูใหม่ภาพนั้นก็เปลี่ยนเป็นหญิงชราอายุเป็นร้อยปี นั้นแหละพระอานนท์ ท่านก็ตัดราคะไปได้
..สิ่งที่เขียนมา เล่ามา ขออย่าให้จิตของข้าพเจ้า ..มีทิฐิเห็นตัวเองดีแล้วเลย…
โฆษณา