9 ก.ย. เวลา 01:09 • ท่องเที่ยว
Asahi-dake

เทรคกิ้งไปบนเส้นทางของกลุ่มภูเขาไฟ ในอุทยานแห่งชาติไดเซสึซัง ใจกลางเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น

ที่มาของทริปนี้คืออยากเดินเทรลที่มีดอกไม้เยอะๆ วิวสวยๆ แล้วก็นึกคุ้นๆ เหมือนเคยอ่านผ่านๆ ว่ามีอุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่งบนเกาะฮอกไกโดที่มีดอกไม้สวยๆ ค้นหาดูก็พบกับชื่อ Daisetsuzan National Park อุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ประกอบด้วยกลุ่มภูเขาไฟต่างๆ โดยมีกลุ่มภูเขาไฟไดเซ็ตสึซังที่มีภูเขาที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโดชื่อว่าภูเขาอาซาฮี (Mt. Asahi, Asahidake) มีความสูง 2,290 เมตร “ยอดนี้แหละโดน” ดอกไม้สวย วิวดี เดินทางสะดวก มีความเป็นไปได้ด้านงบประมาณ
ทริปนี้เราท่องเที่ยวด้วยวิธีการเดินเขาแบบเตรียมข้อมูลการเดินกันเอง ซึ่งการหาข้อมูลก็ไม่ได้ยากอะไร เพราะกิจกรรมการเดินป่าเดินเขาเป็นที่นิยมกันมากในประเทศญี่ปุ่น โดยวางแผนเดินไว้ 2 วัน 1 คืน เริ่มต้นที่ กระเช้าภูเขาอาซาฮี (Asahidake Ropeway) เดินไปพักที่ กระท่อมภูเขาคุโรดาเกะ (Kurodake refuge) แล้วเดินวนอีกทางผ่านน้ำพุร้อนนากะดาเกะ (Nakadake Hot Spring) กลับมาที่กระเช้าภูเขาอีกครั้ง
Day 1
กระเช้าภูเขาอาซาฮี
หลังจากจัดเตรียมสัมภาระ จัดการจอดรถเช่าบริเวณลานจอดรถที่ผู้ให้บริการกระเช้าภูเขาจัดไว้ให้บริการ (มีค่าบริการ) ขึ้นกระเช้าภูเขาสู่ตีนเขาอาซาฮี
กระเช้าภูเขายินดีต้อนรับ
เอาจริงคือ ตื่นเต้น วิวสวยตั้งแต่ขึ้นกระเช้าแล้วแหละ สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาน้อยไม่อยากเดินไกลๆ บริเวณสถานีปลายทางด้านบนก็มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติของภูเขาแบบกลุ่มภูเขาไฟ มีไอน้ำพวยพุ่ง บึงน้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง และในช่วงเดือน กรกฎาคมและสิงหาคมก็จะมีดอกไม้สวยๆ ตามธรรมชาติให้เดินชมกันมากมาย ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวก็จะเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนกองอยู่บนพื้นและติดอยู่ตามต้นไม้ก้อนหิน
แต่สำหรับเราจุดหมายแรกคือ ยอดเขาอาซาฮี ซึ่งจากสถานีกระเช้าภูเขาบอกได้เลยว่าเห็นยอดอยู่ลิบๆ สูงลิ่ว เราต้องพากันไต่ความสูงจาก 1,620 เมตร สู่ 2,290 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และเส้นทางนี้เปิดต้อนรับเราด้วยดอกไม้
Gentiana nipponica (ミヤマリンドウ)
Spiraea betulifolia
Rhododendron hypoleucum (イソツツジ)
Dactylorhiza aristata ( ハクサンチドリ)
เส้นทางก่อนดันความชันขึ้นสู่ยอดเขา ไอขาวๆ นั้นคือไอน้ำที่พุ่งขึ้นมาจากร่องรอยแยกตีนภูเขาอาซาฮี
การเดินแบกเป้หนักๆ ขึ้นยอดเขาในวันที่อากาศสดใสท้องฟ้าสีฟ้าไร้เมฆบดบังนั้น บอกได้เลยว่าการเตรียมตัวเรื่องการป้องกันแสงแดดนั้นจำเป็นมาก แสงนั้นเจิดจ้าตาจะบอด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ใส่แว่นกันแดดเดินเขา พื้นที่เหยียบไปแต่ละก้าวนั้นก็ไม่ธรรมดา บางจุดต้องเหยียบขึ้นตามก้อนหิน บางจุดเป็นหินภูเขาไฟก้อนเล็กๆ ร่วนๆ เหยียบแล้วลื่นล้อฟรี ความพร้อมของรองเท้าจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องมีความพร้อมมากๆ ส่วนสภาพร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่ตัองพร้อมให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
Sibbaldia miyabei ขึ้นเป็นกอชูดอกสีเหลืองใสกลางแดดแรงบนยอดเขาอาซาฮี
การขึ้นสู่ยอดเขาอาซาฮีไม่ใช่เพื่อพิชิตแต่อย่างใด แต่เป็นการเดินขึ้นเพื่อข้ามไปอีกฝั่งสู่ดินแดนอันยิ่งใหญ่ของกลุ่มภูเขาไฟและพืชพันธุ์ตามธรรมชาติ
เส้นๆ ผ่านหิมะที่เห็นคือทางที่เราจะไปสู่เส้นทางเรียบปากปล่องภูเขาไฟ
เดินขึ้นว่าเหนื่อยแล้ว เดินลงนี่เสียวกว่า การเดินลงเขาบนพื้นดินและหินภูเขาไฟร่วนๆ นั้นแสนจะลื่นปรื๊ดๆ ไม้เท้าเดินป่าจะช่วยได้มาก แต่ทุกก้าวนั้นประมาทไม่ได้เลย จนสุดทางลงเขาก็เป็นลานหิมะที่ยังละลายไม่หมดต้องกระแทกไม้เท้าและส้นรองเท้าแบบเต็มแรงเพื่อความมั่นคงในการตั้งหลักของแต่ละก้าว
สุดแนวหิมะเป็นลำธารเล็กๆ ที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง ไหลผ่านเนินเตี้ยๆ ที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยพืชคลุมดินและไม้พุ่มทรงเตี้ยหลากชนิด บางชนิดกำลังออกดอกชูช่อรับแสงแดดและท้าทายแรงลมภูเขาอย่างมีชีวิตชีวา หลายชนิดเป็นพืชเฉพาะถิ่นที่อยู่ในภาวะที่ต้องช่วยกันดูแลเอาไว้ดีๆ เพราะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
Cassiope lycopodioides (イワヒゲ)
Phyllodoce caerulea
Phyllodoce caerulea (エゾノツガザクラ)
Rhododendron aureum
Anemonastrum narcissiflorum (エゾハクサンイチゲ)
Kalmia procumbens
Gentiana nipponica (ミヤマリンドウ)
บริเวณลำธารหิมะละลายตรงนี้ยังเป็นจุดที่กางเต็นท์ค้างแรมได้ ชื่อว่า Ura-Asahi Came Site มีแหล่งน้ำ มีห้องสุขาเล็กๆ สำหรับเป็นที่ส่วนตัวสำหรับการใช้สุขาแบบถุง (จะมีเขียนแนะนำในบทความต่อๆ ไป) ซึ่งเราจะยังไม่พักตรงนี้หรอกนะ เส้นทางยังอีกยาวไกล
ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมและทิวทัศน์แปลกตา ใช้คำว่าสวยแบบทั้งออกเสียงและแบบอึ้งอยู่ในใจได้อย่างสิ้นเปลืองสุดๆ หลายจุดหลายมุมเนินหินเนินกรวดเหมือนถูกปูทับด้วยกอพืชสีเขียว ประดับด้วยดอกไม้เล็กๆ บางช่วงสลับด้วยแนวสนภูเขา Pinus pumila ทรงเตี้ยเอียงเอนบิดเหมือนมีคนสวนมาดัดตัดแต่ง
สน Pinus pumila
บางตรงดอกไม้ขึ้นเป็นกอโดดเดี่ยวและโดดเด่นสง่างาม ชูช่อดอกทรงแปลกสีหวาน รองรับด้วยกอสีเขียวหม่นของใบแหลมเล็กละเอียดยิบ บางมุมก็เป็นลานดอกไม้กว้างหลากชนิดเหมือนมีใครเอาเมล็ดพันธุ์มาหว่านเอาไว้แล้วคอยใส่ปุ๋ยรดน้ำอยู่ทุกเช้าเย็น
Dicentra peregrina (コマクサも咲いてた)
ลานนี้คือสุดความสามารถจะถ่ายทอดความสวยงาม
เราเดินเรียบปากปล่องภูเขาไฟที่มองเห็นเป็นหุบลึกที่ยังมีหิมะปกคลุมในบางส่วน พื้นที่ส่วนใหญ่ที่หิมะละลายไปก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยสีเขียวของพืชชนิดต่างๆ บางช่วงเป็นร่องกัดเซาะที่เกิดจากการละลายของหิมะเผยสีของพื้นดินและหินไล่สีสันผันแปรไปตามแร่ธาตุที่ประกอบกันขึ้นมา หลายๆ ร่องเป็นร่องน้ำคดโค้งไหลรวมกันเป็นลำธารใหญ่ ทั้งสายน้ำและเนินดินสะท้อนแสงแดดเกิดเป็นมิติความงามที่เกินจะบรรยาย และถ่ายภาพยังไงก็ไม่งามเท่ากับที่ได้สัมผัสอยู่ตรงนั้น
Rhododendron camtschaticum
จนจวนจะค่ำเราเดินมาถึงจุดกางเตนท์คุโรดาเกะ (Kurodake refuge) ที่นี่มีบริการทั้งลานกางเตนท์ กระท่อมพักแรม ห้องสุขาแบบส้วมหลุม ห้องสุขาสำหรับใช้สุขาส่วนตัวแบบถุงพกพา มีน้ำฝนให้กรอกใช้ฟรีซึ่งจะให้ดีก็ควรกรองหรือต้มเสียก่อนจะชัวร์กว่า มีข้าวของให้ซื้อหาได้บ้างเล็กน้อยซึ่งเราไม่ได้สนใจดูเพราะแบกมาเองอย่างครบครัน แล้วจัดการหุงข้าวญี่ปุ่นกินกับเสบียงง่ายๆ เช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วรีบนอนพักเอาแรงในค่ำคืนที่อากาศเย็นสบาย
Day 2
วิวเมื่อโผล่ออกมาจากเต็นท์ในตอนเช้าคือ ว๊าวมาก เช้าในช่วงฤดูร้อนของฮอกไกโดคือเช้าจัดเลยนะ ประมาณตี 3 ครึ่งของที่นั่นฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว และไม่ต้องห่วงว่าจะเผลอตื่นสาย เพื่อนนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นจอมขยันจะพากันเตรียมตัวเดินส่องไฟฉายขึ้นยอดคุโรดาเกะตั้งแต่แสงแรกยังไม่โผล่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น เรานั่งดื่มกาแฟมองแถวคนเดินส่องไฟฉายขึ้นยอดเขาก็สนุกแล้วล่ะ
Pennellianthus frutescens (イワブクロ)
แล้วทางเดินในวันนี้ก็คือกาคเดินวนรอบฝั่งเหนือของปากปล่องภูเขาไฟกลับไปสถานีกระเช้าภูเขา ซึ่งเช้านี้ยังคงเป็นเช้าที่สดใส จัดว่าโชคดีมากๆ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ต้องบอกก่อนว่าการเลือกท่องเที่ยวเดินป่าเขาในช่วงฤดูร้อนดอกไม้ป่าบานสะพรั่งนั้น ต้องเตรียมแผนและศึกษาสภาพอากาศ เพื่อเตรียมตัวรับความเสี่ยงในเรื่องของสภาพอากาศที่มีความแปรปรวนของประเทศญี่ปุ่น ยิ่งบนเขาสูงยิ่งแปรปรวนหนักมาก
เส้นทางขึ้นเนินสูงที่แม้แต่ตามซอกซ่อนหลืบหินก็ยังแซมไว้ด้วยดอกไม้
Primula cuneifolia (ミヤマキンバイ)
Aleutian Avens (Geum pentapetalum)
Caltha fistulosa
ร่องลำธารเล็กๆ ยังมีชีวิตชีวาแต่งแต้ม
ตลอดการเดิน 2 วัน ระยะทางเดินวันละ 9 กิโลกว่าๆ ขึ้นเขาลงเขา ต่างๆ มากมายได้สัมผัส สมองได้บันทึกความทรงจำไว้มากมาย จนถึงวันนี้หลับตานึก ภาพยังคงชัดเจน ถึงความทรงจำที่มีชีวิต กลิ่นของกำมะถัน สายลมและทรายที่สัมผัสผิว แสงระยิบในหุบเขา เวิ้งฟ้ากว้าง ภูเขาต่างทรงต่างสีสัน ดอกไม้น้อยๆ บอบบาง ทุ่งดอกไม้กว้างตามเนินเขาและริมลำธาร หิมะขาว สายน้ำเย็นเฉียบ เสียงนกร้องทักทายตลอดทั้งวัน ต่างๆ เหล่านี้ประกอบกันเข้าอย่างลงตัวในดินแดนมหัศจรรย์ที่สร้างสรรค์และจัดแต่งด้วยมือใครก็ไม่รู้เน๊อะ
แผนที่โทโปเส้นทางที่เราเดินในทริปนี้
โฆษณา