5 ก.ย. 2024 เวลา 00:09 • ธุรกิจ

นักลงทุนอัจฉริยะหรือนักพนันผู้โชคดี? ถอดรหัสความสำเร็จของ Masayoshi Son ‘คนบ้า’ แห่งวงการเทคโนโลยี

ในโลกแห่งธุรกิจและเทคโนโลยี มีชื่อหนึ่งที่โดดเด่นและสร้างความฮือฮามาโดยตลอด นั่นคือ มาซาโยชิ ซัน (Masayoshi Son) ชายผู้มาจากครอบครัวผู้อพยพเกาหลีที่ต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยความยากจนในญี่ปุ่น แต่กลับสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี
1
เรื่องราวของมาซาโยชิเริ่มต้นจาก ปู่ย่าตายายของเขาอพยพมาญี่ปุ่นจากเกาหลีใต้โดยซ่อนตัวในเรือประมงเล็กๆ พวกเขามาถึงญี่ปุ่นโดยไม่มีอะไรติดตัวเลย ไม่มีอาหาร ไม่มีที่พัก และไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้
ชีวิตในวัยเด็กของมาซาโยชิก็ไม่ได้สดใสนัก เขาถูกมองว่าเป็นคนนอกในสังคมญี่ปุ่นเพราะเชื้อสายของเขา เพื่อนร่วมชั้นถึงกับขว้างก้อนหินใส่เขา ส่วนพ่อของเขาแทบจะหาเงินไม่พอเลี้ยงปากท้องครอบครัว ต้องทำงานสารพัดอย่างเท่าที่จะหาได้ ตั้งแต่เลี้ยงหมูไปจนถึงขายเหล้าเถื่อน
1
แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความฝันอันยิ่งใหญ่ เด็กชายผู้นี้ได้วางแผนชีวิตของตัวเองตั้งแต่ยังเรียนมัธยมต้น เขาตั้งใจว่าจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดในญี่ปุ่น ความมุ่งมั่นนี้นำพาให้เขาได้พบกับ เด็น ฟูจิตะ ผู้นำแมคโดนัลด์เข้ามาในญี่ปุ่น ซึ่งต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของเขา
2
ด้วยคำแนะนำของฟูจิตะ มาซาโยชิตัดสินใจเดินทางไปอเมริกาเพื่อไล่ตามความฝันทางธุรกิจ เมื่ออายุเพียง 16 ปี เขาเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย ฝึกภาษาอังกฤษ และเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายอเมริกัน
แต่ด้วยความกระตือรือร้นและความสามารถอันโดดเด่น เขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างรวดเร็ว โดยเรียนเศรษฐศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
1
ช่วงเวลาในมหาวิทยาลัยเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยทางธุรกิจของมาซาโยชิ เขาเริ่มคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ โดยใช้เวลาเพียงวันละ 5 นาที ด้วยความคิดที่ว่านี่คือการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
แนวคิดนี้นำไปสู่การคิดค้นอุปกรณ์แปลภาษาพกพา ซึ่งต่อมาเขาได้ขายสิทธิบัตรให้กับบริษัท Sharp ในราคา 1.7 ล้านดอลลาร์ ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี
นอกจากนี้ มาซาโยชิยังริเริ่มธุรกิจนำเข้าเครื่องเกมอาร์เคด Space Invaders จากญี่ปุ่นมาสู่สหรัฐฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สร้างกำไรให้เขามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 6 เดือน
1
ความสำเร็จเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวไกลของมาซาโยชิ ซัน สู่การเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี
การก่อตั้ง SoftBank และการผจญภัยในโลกเทคโนโลยี
หลังจากจบการศึกษา มาซาโยชิกลับไปญี่ปุ่นตามที่สัญญากับแม่ไว้ ด้วยเงินที่หาได้จากอเมริกา เขาตั้งใจจะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในบ้านเกิด หลังจากวิเคราะห์ไอเดียธุรกิจหลายสิบแบบ เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ชื่อ SoftBank
แม้ว่าในช่วงต้นทศวรรษ 1980 คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่มาซาโยชิมองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้ เขาเชื่อมั่นว่า SoftBank จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์อันดับหนึ่งในญี่ปุ่น แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีประสบการณ์ด้านซอฟต์แวร์เลยก็ตาม
2
การเริ่มต้นของ SoftBank ไม่ได้ราบรื่นนัก มาซาโยชิพยายามสร้างความสนใจในธุรกิจคอมพิวเตอร์ด้วยการทำนิตยสาร แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ หลายคนแนะนำให้เขาล้มเลิก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล เขายังคงทุ่มเททรัพยากรและความพยายามเข้าไปในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง
2
ในที่สุด ความพยายามของเขาก็เริ่มเห็นผล SoftBank ได้รับประโยชน์จากความต้องการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แต่แล้วโชคร้ายก็เกิดขึ้น มาซาโยชิได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้มาซาโยชิมุ่งมั่นที่จะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เร็วกว่าเดิม และกล้าได้กล้าเสียมากขึ้น เพราะเขาตระหนักว่าชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาไปกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
2
ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 SoftBank เติบโตอย่างรวดเร็ว มีพนักงานถึง 800 คนและมีรายได้พันล้านดอลลาร์ มาซาโยชินำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนเพิ่มเติม และเริ่มขยายการลงทุนไปสู่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ
หนึ่งในการลงทุนที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือการลงทุนในบริษัท Yahoo ด้วยมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์ เมื่อ Yahoo เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่นานหลังจากนั้น มูลค่าของมันพุ่งขึ้นเป็น 808 ล้านดอลลาร์ สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับ SoftBank
มาซาโยชิไม่เคยหยุดนิ่ง เขามักจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อในโอกาสใหม่ๆ เสมอ เมื่อถึงปลายทศวรรษ 1990 SoftBank ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เหมือนกองทุนร่วมลงทุน (venture capital fund) โดยเน้นการซื้อและลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีที่มาซาโยชิเชื่อมั่นในศักยภาพ
1
การลงทุนของมาซาโยชิมักจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและกล้าได้กล้าเสีย เช่น การลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ใน E-Trade หลังจากโทรศัพท์คุยกับผู้ก่อตั้งเพียงครั้งเดียว หรือการลงทุน 20 ล้านดอลลาร์ใน Alibaba ทั้งที่บริษัทยังไม่มีแผนธุรกิจหรือรายได้ชัดเจน เพียงเพราะเขาเห็น “ประกายในดวงตา” ของ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง
2
มาซาโยชิ ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัว Jack Ma (CR:Manager Magazin)
แม้ว่าไม่ใช่ทุกการลงทุนจะประสบความสำเร็จ แต่มาซาโยชิเข้าใจดีว่าในโลกของการลงทุนแบบ venture capital เพียงเจอห่านทองคำในธุรกิจที่ประสบความสำเร็๗เพียงรายเดียวก็สามารถเอาชนะความล้มเหลวอื่นๆ ทั้งหมดได้ เขาไม่จำเป็นต้องถูกต้องในทุกการลงทุน ตราบใดที่เขามีความสำเร็จครั้งใหญ่ไม่กี่ครั้ง
Vision Fund และความท้าทายในยุค AI
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 มาซาโยชิยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ เขาเล็งเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อไปในวงการเทคโนโลยีจะเป็นการเปลี่ยนจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปสู่มือถือ ด้วยวิสัยทัศน์นี้ เขาได้ติดต่อ Steve Jobs และขอสิทธิ์ขาย iPhone แต่เพียงผู้เดียวในญี่ปุ่น
1
แม้ว่า Jobs จะปฏิเสธในตอนแรกเพราะ SoftBank ไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทมือถือในญี่ปุ่น แต่มาซาโยชิก็ไม่ย่อท้อ เขาตัดสินใจซื้อ Vodafone Japan ในราคาประมาณ 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้ได้สิทธิ์นั้นมา การตัดสินใจอันกล้าหาญนี้ทำให้ SoftBank สามารถขายสัญญาโทรศัพท์ได้จำนวนมหาศาล เพราะทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้ใช้ iPhone รุ่นใหม่
1
ต่อมา มาซาโยชิได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่าจะเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ต่อไปในวงการเทคโนโลยี เขาเชื่อว่าสังคมกำลังเข้าใกล้จุดที่เรียกว่า Singularity ซึ่งเป็นจุดที่ปัญญาประดิษฐ์จะเหนือกว่าสติปัญญาของมนุษย์ ด้วยความเชื่อนี้ เขาจึงริเริ่มโครงการ Vision Fund
Vision Fund เป็นกองทุนร่วมลงทุนขนาดมหึมาถึง 100 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งใหญ่กว่ากองทุนอื่นๆ กว่า 4 เท่า วัตถุประสงค์หลักของกองทุนนี้คือการลงทุนในเทคโนโลยี AI และบริษัทที่นำ AI มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ
การระดมทุนสำหรับ Vision Fund เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง มาซาโยชิสามารถระดมทุนเบื้องต้น 45 พันล้านดอลลาร์จากซาอุดีอาระเบียภายในเวลาเพียง 45 นาที นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนจาก SoftBank เอง รวมถึงจากอาบูดาบี และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Foxconn
อย่างไรก็ตาม Vision Fund ก็ไม่ได้ปราศจากข้อวิพากษ์วิจารณ์ หลายคนกล่าวหาว่ามาซาโยชิกำลังสร้างฟองสบู่ขนาดใหญ่และบิดเบือนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทต่างๆ โดยการทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปในบริษัทที่อาจไม่ได้เป็น “บริษัทเทคโนโลยี” อย่างแท้จริง
1
นอกจากนี้ วิธีการลงทุนของมาซาโยชิที่มักจะตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสัญชาตญาณและการประชุมเพียงไม่กี่นาที ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ ตัวอย่างเช่น การลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์ใน WeWork หลังจากการประชุมที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โดยที่เขาไม่ได้ดูเอกสารนำเสนอด้วยซ้ำ
3
มาซาโยชิ ที่ดูเหมือนจะผิดพลาดกับ WeWork (CR:Mingtiandi)
มาซาโยชิยังถูกกล่าวหาว่าใช้เงินทุนเป็นอาวุธ โดยทุ่มเงินไม่จำกัดให้กับบริษัทต่างๆ ด้วยความเชื่อว่าสตาร์ทอัพที่มีเงินทุนมากที่สุดจะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ในตลาดที่มีผู้ชนะเพียงรายเดียว แต่วิธีการนี้ก็ทำให้หลายบริษัทละเลยการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและทำกำไรได้จริง
แม้จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาซาโยชิ ซัน เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกเทคโนโลยี เขามีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและความกล้าที่จะเสี่ยง ซึ่งทำให้เขาสามารถมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม
1
บทสรุป: มรดกและคำถามที่ยังคงค้างคาใจ
เรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จที่เกิดจากความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ และความกล้าที่จะเสี่ยง เขาเริ่มต้นจากเด็กชายผู้ยากจนในครอบครัวผู้อพยพ และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี
2
ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา มาซาโยชิได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการมองเห็นแนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การปฏิวัติอินเทอร์เน็ต การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคสมาร์ทโฟน และล่าสุดคือการมาถึงของยุค AI เขามักจะเป็นคนแรกๆ ที่เข้าไปลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ และได้รับผลตอบแทนมหาศาล
อย่างไรก็ตาม วิธีการลงทุนของมาซาโยชิก็ไม่ได้ปราศจากข้อโต้แย้ง การตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสัญชาตญาณ และการทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปในบริษัทที่ยังไม่มีกำไร ทำให้หลายคนสงสัยว่าเขากำลังสร้างฟองสบู่ขนาดใหญ่หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของการลงทุนแบบ “ทุ่มสุดตัว” ของเขาที่มีต่อระบบนิเวศของสตาร์ทอัพและตลาดเทคโนโลยีโดยรวม
1
แม้ว่าจะมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้วิจารณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มาซาโยชิ ซัน ได้สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อโลกเทคโนโลยี การลงทุนของเขาได้ช่วยให้บริษัทมากมายเติบโตและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก
ในขณะเดียวกัน เรื่องราวของเขาก็เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างความกล้าที่จะเสี่ยงและความรอบคอบในการลงทุน แม้ว่าความกล้าและวิสัยทัศน์ของมาซาโยชิจะน่าชื่นชม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาถึงความยั่งยืนและผลกระทบระยะยาวของการตัดสินใจทางธุรกิจด้วย
1
ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ยังคงค้างคาใจคือ มาซาโยชิ ซัน เป็นนักลงทุนอัจฉริยะที่มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนกว่าใคร หรือเป็นเพียงนักพนันที่โชคดีกันแน่? คำตอบอาจจะไม่ใช่เพียงข้อใดข้อหนึ่ง แต่อาจเป็นการผสมผสานระหว่างความฉลาด วิสัยทัศน์ ความกล้า และโชคที่เข้ากันได้อย่างลงตัว
ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้น กล้าที่จะฝัน และไม่กลัวที่จะเสี่ยงเพื่อสิ่งที่เราเชื่อ แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถหรือควรทำตามแนวทางของเขาทั้งหมด แต่เราทุกคนสามารถเรียนรู้จากความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของเขาได้
1
ในท้ายที่สุด มรดกของมาซาโยชิ ซัน อาจไม่ใช่แค่บริษัทที่เขาสร้างหรือเงินที่เขาทำได้ แต่เป็นการกระตุ้นให้เราทุกคนคิดใหญ่ มองไกล และกล้าที่จะท้าทายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะบางทีสิ่งที่ดูเหมือนความบ้าคลั่งในวันนี้ อาจกลายเป็นความปกติในวันข้างหน้าก็เป็นได้นั่นเองครับผม
2
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา