Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
5 ก.ย. เวลา 13:15 • กีฬา
วันนี้ทีมปีศาจแดง ไม่ใช่สโมสรรวยแต่ใช้เงินไม่เป็นอีกแล้ว
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยถูกแซวมาหลายปี ว่าเป็นสโมสรที่รวย แต่ใช้เงินไม่เป็น เพราะมักจะเสียเปรียบคู่ค้าอยู่เสมอในการเจรจาซื้อตัวผู้เล่น
ทีมปีศาจแดง มีฐานะมั่งคั่ง พวกเขามีทีมการตลาดที่เก่งระดับเทพ หาโฆษณาใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา ส่วนคนดูในสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดก็หนาแน่นทุกแมตช์ แฟนบอลเรดเดวิลส์ พร้อมแสดงความรักอยู่เสมอ ไม่ว่าฟอร์มของทีมจะดีหรือแย่ก็ตาม
ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บส์ ตั้งแต่มีการบันทึกสถิติในปี 2007 ระบุว่า ไม่เคยมีทีมไหนในพรีเมียร์ลีก ที่จะมีมูลค่ามากไปกว่าทีมปีศาจแดง พวกเขาคือทีมที่รวยที่สุดในอังกฤษ 17 ปีติดต่อกัน
ส่วนในระดับโลก แมนฯ ยูไนเต็ด แย่งชิงอันดับหนึ่งอยู่กับเรอัล มาดริดกันอยู่สองทีม โดยจะมีบาร์เซโลน่าสอดแทรกมาบ้างเป็นบางหน
ด้วยความที่ร่ำรวยขนาดนี้ จึงเกิดปรากฏการณ์ในตลาดนักเตะ ที่เรียกว่า "การฟันหัวแบะ" กับแมนฯ ยูไนเต็ด
อธิบายคือ เวลาที่พวกเขาสนใจนักเตะคนไหน ทีมคู่ค้าจะตั้งราคาสูงเกินกว่าควรจะเป็น เพราะรู้ว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ยังไงก็มีเงินมหาศาลพร้อมจ่ายอยู่แล้ว
ในปี 2019 แมนฯ ยูไนเต็ด ยื่นข้อเสนอ 40 ล้านปอนด์ ขอซื้อแฮร์รี่ แม็กไกวร์ กองหลังวัย 26 ปีจากเลสเตอร์ ปรากฏว่าเลสเตอร์ไม่ยอมขาย บอกแมนฯ ยูไนเต็ดว่า ถ้าอยากได้ เอาเงินมา 80 ล้านปอนด์ เพื่อให้แม็กไกวร์ เป็นกองหลังค่าตัวสถิติโลกคนใหม่ แทนที่เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ของลิเวอร์พูล (75 ล้านปอนด์)
แมนฯ ยูไนเต็ด ยื่นข้อเสนอรอบสอง ไปที่ราคา 70 ล้านปอนด์ ซึ่งก็นับว่ามหาศาลมากๆ แล้ว แต่เลสเตอร์ก็ยังไม่ขาย
สุดท้ายแมนฯ ยูไนเต็ด ยอมควักเงินจ่ายให้จบๆ ไป ที่ 80 ล้านปอนด์ ตามที่เลสเตอร์ต้องการ ทำให้แม็กไกวร์กลายเป็นกองหลังสถิติโลก ทั้งๆ ที่ฝีเท้าของเขา พูดตรงๆ คือไม่น่าจะแพงได้ขนาดนั้น
ดีลนี้ เลสเตอร์คว้าชัยชนะในเกมซื้อขาย เพราะได้เงินตามที่ต้องการ ส่วนแมนฯ ยูไนเต็ด ได้นักเตะไปก็จริง แต่เป็นราคาที่เกินกว่าที่พวกเขาประเมินไว้ตอนแรกสุดถึง 2 เท่า
หรือเคสของ แอร่อน วาน-บิสซาก้า จากคริสตัล พาเลซ ตอนแรกแมนฯ ยูไนเต็ด ยื่นไป 40 ล้านปอนด์ ซึ่งก็ถือว่าสูงมากแล้ว สำหรับนักเตะระดับทีมชาติอังกฤษชุด u-21
สุดท้ายพาเลซไม่ยอมขาย ตั้งราคาเพิ่มเป็น 50 ล้านปอนด์ ฝั่งทีมปีศาจแดงก็ยอมอีก จ่ายๆ ไปจะได้จบ
1
หรืออีกเคสหนึ่ง ที่ถูกพูดถึงมากๆ คือ กรณีของอันโตนี่ ปีกชาวบราซิลของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
อาแจ๊กซ์ ซื้ออันโตนี่ มาจากเซาเปาโล ในปี 2020 ด้วยราคา 13 ล้านปอนด์ จากนั้นอันโตนี่ ก็เล่นอยู่กับอาแจ๊กซ์ 2 ปี ในยุคของเอริก เฮน ฮาก และมีผลงานใช้ได้ ยิงไป 18 ลูก และ แอสซิสต์ 8 ครั้ง
พอเทน ฮาก ย้ายมาคุมทีมปีศาจแดง จึงรีเควสต์กับบอร์ดบริหาร ว่าอยากได้ตัวอันโตนี่มาอยู่ด้วย ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด ยื่นข้อเสนอให้อาแจ๊กซ์ ด้วยตัวเลข 51 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 4 เท่า จากที่อาแจ๊กซ์เคยซื้อมาจากเซาเปาโล
นี่เป็นตัวเลขที่เยอะมากแล้ว สำหรับนักเตะที่เพิ่งย้ายมาอยู่ยุโรปได้ 2 ปี แต่อาแจ๊กซ์ไม่ขาย และยื่นราคาสวนกลับไปว่า ถ้าคิดจะเอาอันโตนี่ ยื่นมา 85 ล้านปอนด์ (100 ล้านยูโร)
แมนฯ ยูไนเต็ดพยายามต่อรอง ยื่นข้อเสนอครั้งที่สอง ด้วยราคา 67.9 ล้านปอนด์ แต่อาแจ๊กซ์ก็ยังปฏิเสธอีก แล้วบอกว่า ถ้าไม่ได้ราคา 85 ล้านปอนด์ก็ไม่ขาย
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2022 ด้วยความที่ตลาดซื้อขายกำลังจะปิดตัวแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ดที่ไม่มีแผนสำรอง จึงเกิดความแพนิค ตัดสินใจยื่นข้อเสนอที่บ้าคลั่ง เอาก็เอาวะ
นั่นคือพร้อมจ่ายเงินก้อน 81 ล้านปอนด์ บวกอ็อปชั่นเสริมอีก 4 ล้านปอนด์ รวมเป็น 85 ล้านปอนด์ ซึ่งเท่ากับ 100 ล้านยูโรพอดี ที่อาแจ๊กซ์ต้องการ
เมื่อกล้ายื่น อาแจ๊กซ์ก็ยิ้มรับทันที รีบขายอันโตนี่ให้แมนฯ ยูไนเต็ด ในราคา 85 ล้านปอนด์
ส่งผลให้อันโตนี่ กลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาลของสโมสรอาแจ๊กซ์ตั้งแต่ก่อตั้งมา 122 ปี
ความตลกของดีลนี้คือ แมนฯ ยูไนเต็ดเคยส่งแมวมองไปดูฟอร์มของอันโตนี่ในปี 2021 ยุคของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ซึ่งแมวมองวันนั้นประเมินราคาของอันโตนี่ไว้ที่ 25 ล้านปอนด์
แปลว่า มองยังไง ราคาของอันโตนี่ ก็ไม่น่าจะแพงขนาดนั้น แต่จอห์น เมอร์เทอห์ ผู้อำนวยการฟุตบอลของทีมปีศาจแดง กลับกล้ายอมจ่ายถึง 85 ล้านปอนด์ กับนักเตะที่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองเลยในเวทียุโรป
นี่ก็เป็นอีกครั้งที่แมนฯ ยูไนเต็ด โดน "ฟันหัวแบะ" พวกเขาต้องจ่ายเงินแพงเกินควร ให้กับการซื้อผู้เล่นหนึ่งคน
แน่นอน เงินแค่นี้ ไม่ได้กระทบต่อสโมสรที่ร่ำรวยอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด แต่มันจะดีกว่านี้ไหม ถ้าทีมสามารถซื้อนักเตะได้ในราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ได้โดนโขกยับแบบที่เป็นอยู่
เดือนมกราคมปี 2024 มีการเปลี่ยนโครงสร้างของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเซอร์ จิม แรดคลิฟฟ์ เข้ามาซื้อหุ้น 27.7% และพร้อมมีบทบาทในการบริหารสโมสรเต็มตัว
มีการเปลี่ยนตำแหน่งซีอีโอ จากริชาร์ด อาร์โนลด์ มาเป็น โอมาร์ เบอร์ราด้า และเปลี่ยน ผู้อำนวยการฟุตบอล จากจอห์น เมอร์เทอห์ เป็นแดน แอชเวิร์ธ อดีตผอ.ของนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจมาก มาจากคำพูดของแดน แอชเวิร์ธ ที่รับผิดชอบเรื่องการซื้อขายโดยตรง เขากล่าวว่า "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยจ่ายเงินแบบเสียเปล่าไปนับพันล้านปอนด์ แต่วันคืนเหล่านั้น จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว"
ความหมายคือ นับจากนี้ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไม่ใช่หมูให้ใครเชือดในตลาดซื้อขาย พวกเขามีเงินเยอะ แต่ไม่ได้แปลว่าต้องจ่ายเยอะกว่าสโมสรอื่น ทีมไหนก็ตาม อย่าคิดว่าจะมาเอาเปรียบกันได้
และเคสที่แสดงให้เห็นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด พูดจริงทำจริง คือกรณีของจาร์ราด แบรนท์เวท กองหลังทีมชาติอังกฤษของเอฟเวอร์ตัน
ด้วยความที่ราฟาแอล วาราน ประกาศอำลาทีม และจอนนี่ อีแวนส์ กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เหลือสัญญาอีกแค่ 1 ปี ทำให้ทีมปีศาจแดง ต้องการเซ็นเตอร์แบ็กคนใหม่ อย่างน้อย 2 ตัว สำหรับฤดูกาล 2024-25
คนแรกที่เล็งไว้ คือมัทไธส์ เดอ ลิกต์ วัย 25 ปี จากบาเยิร์น มิวนิค เป็นคนที่พร้อมใช้งานได้เลยทันที
ส่วนคนที่สองที่เล็งไว้เช่นกัน คือ จาร์ราด แบรนท์เวท วัย 21 ปี จากเอฟเวอร์ตัน ที่พร้อมจะเป็นอนาคตให้ทีมได้ในระยะยาว
แบรนท์เวท มีจุดเด่นคือเล่นดีทั้งสองเท้า ซ้าย-ขวา เท่ากัน เป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก
ในเกม EA FC แบรนท์เวท มีค่า Weak Foot (เท้าไม่ถนัด) 5 ดาวเต็ม คือเวลาจ่ายบอลสั้นใช้เท้าขวา แต่เวลาวางบอลยาวใช้เท้าซ้าย ถ้าไม่รู้มาก่อน ก็เดาไม่ได้เลย ว่าเขาถนัดเท้าไหนกันแน่
นอกจากนั้น ด้วยส่วนสูงถึง 195 ซม. ถ้าหากแมนฯ ยูไนเต็ดได้ตัวมา จะกลบจุดอ่อนของลิซานโดร มาร์ติเนซ (175 ซม.) เซ็นเตอร์แบ็กอีกคนได้เป็นอย่างดี ทำให้เกมป้องกันกลางอากาศของทีมน่าจะดูดีขึ้น
แบรนท์เวท เคยย้ายไปเล่นให้พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น แบบยืมตัว ในฤดูกาล 2022-23 และช่วยทีมได้แชมป์ดัตช์คัพ โดยเฮดโค้ชของพีเอสวี ณ ขณะนั้น คือรุด ฟาน นิสเตลรอย ผู้ช่วยผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนปัจจุบันนั่นเอง
แบรนท์เวท เหลือสัญญากับเอฟเวอร์ตันอีก 3 ปี ปัจจุบันรับค่าเหนื่อยอยู่ที่ 35,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ รายงานจากเจมส์ ดั๊กเกอร์ นักข่าวจากเทเลกราฟ ยืนยันว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ตกลงสัญญาส่วนตัวนอกรอบกับนักเตะได้แล้ว เหลือแค่เจรจาค่าตัวกับต้นสังกัดเอฟเวอร์ตันเท่านั้น
14 มิถุนายน 2024 แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดหัวข้อเสนอรอบแรก ด้วยราคา 35 ล้านปอนด์ เอฟเวอร์ตันปฏิเสธทันที แล้วบอกว่าจะยอมปล่อยถ้าได้ข้อเสนอ 70 ล้านปอนด์
9 กรกฎาคม 2024 แมนฯ ยูไนเต็ด ยื่นข้อเสนอครั้งที่ 2 ด้วยราคา 50 ล้านปอนด์ (เงินสด 45 ล้านปอนด์ บวกอ็อปชั่นเพิ่มอีก 5 ล้านปอนด์)
แต่เอฟเวอร์ตันปฏิเสธอีกครั้ง โดยยืนกรานว่าจะไม่ขายในราคาต่ำกว่า 70 ล้านปอนด์
ตัวเลข 50 ล้านปอนด์ เป็นราคาที่สื่อมวลชนมองว่าเหมาะสม สำหรับดาวรุ่งที่เพิ่งติดทีมชาติชุดใหญ่แค่ 1 เกม แต่เอฟเวอร์ตันก็ไม่ยอมขาย ตั้งราคาไว้สูงๆ เพราะเดี๋ยวแมนฯ ยูไนเต็ดก็คงยอม เหมือนเคสที่ผ่านๆ มา
แมนฯ ยูไนเต็ดน่ะอยากได้แน่ๆ แต่ คำถามคือพวกเขาจะ "จ่ายไปซะให้มันจบๆ ไป" เหมือนกรณีของแม็กไกวร์ หรือ อันโตนี่ในอดีตหรือเปล่า
ถ้าเป็นยุคจอห์น เมอร์เท่อห์ ก็อาจจะยอมจ่าย แต่พอเป็นยุคของแดน แอชเวิร์ธ ไอเดียเรื่องการซื้อผู้เล่นนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
เมื่อโดนปฏิเสธรอบสอง ในวันเดียวกันนั้นเลย (9 ก.ค.) แมนฯ ยูไนเต็ด ยื่นข้อเสนอไปหาเลนี่ โยโร่ กองหลังวัย 18 ปี จากสโมสรลิลล์ เจ้าของฉายา "วิลเลียม ซาลิบา คนต่อไป" ด้วยตัวเลข 42 ล้านปอนด์
โยโร่ เหลือสัญญากับลิลล์อีก 1 ปี และเรอัล มาดริด เตรียมดึงตัวไปอยู่ด้วยทันทีแบบฟรีๆ ตามกฎบอสแมน ในซัมเมอร์ปีหน้า
อย่างไรก็ตาม แมนฯ ยูไนเต็ด ยื่นข้อเสนอทันทีตอนนี้เลย เพื่อตัดหน้าทีมราชันชุดขาว และสุดท้ายก็ทำได้ โยโร่ยอมรับข้อเสนอ
แมนฯ ยูไนเต็ด เจรจากับลิลล์อีกครั้ง ก่อนจะปิดดีลได้สำเร็จในราคา 58 ล้านปอนด์ ในวันที่ 18 กรกฎาคม
นั่นหมายความว่า แมนฯ ยูไนเต็ดเลือกโยโร่ และไม่กลับไปยื่นข้อเสนอรอบ 3 เพื่อซื้อแบรนท์เวทอีกแล้ว จะโก่งก็โก่งไป เราซื้อตัวอื่นแทนก็ได้
ฝั่งเอฟเวอร์ตันยอมรับว่า "ประหลาดใจ" เพราะนึกว่าแมนฯ ยูไนเต็ดจะสู้ราคา แต่กลับพลิกเกม ไปดึงเอาโยโร่มาแทนเฉยเลย
1
น่าสนใจว่า เอฟเวอร์ตันจะเสียดายไหม กับตัวเลข 50 ล้านปอนด์ ที่ปฏิเสธไป เพราะไม่รู้ว่า อนาคตจะมีทีมอื่น ยื่นข้อเสนอระดับนี้ มาให้อีกหรือไม่
และถ้าสมมุติถ้า Worst Case ทีมตกชั้น ก็ย่อมต้องถูกบีบให้ขายแบรนท์เวทออกไป ในราคาต่ำกว่านี้อย่างแน่นอน
ขณะที่ตัวแบรนท์เวท ก็คงเซ็งสุดๆ เหมือนกัน จากที่จะได้อัพค่าเหนื่อยมาอยู่กับทีมปีศาจแดง ต้องมาสู้หนีตายกับเอฟเวอร์ตัน ที่แพ้รวดทุกนัดใน 3 เกมแรก แถมยังได้ค่าเหนื่อยเท่าเดิมอีกต่างหาก
จากกรณีนี้ ความน่าสนใจคือ แนวทางการซื้อขายของแมนฯ ยูไนเต็ดเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ยอมโดนสโมสรคู่ค้า ลากราคาไปตามใจชอบ
ถ้าราคาเกินลิมิตที่ตั้งไว้ ก็พร้อมจะล้มดีลได้ทุกเมื่อ
นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นว่า ทีมซื้อขาย มีแผนสำรองอื่นด้วย มีพูลนักเตะที่เล็งเอาไว้คนอื่นๆ นะ ไม่ใช่โฟกัสที่ผู้เล่นคนเดียว จนอีกฝ่ายเรียกอะไรก็ต้องยอมเขาทุกอย่าง
หลังปิดตลาดซัมเมอร์เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Bleacher Report ตัดเกรดการซื้อขายของ 20 ทีมในพรีเมียร์ลีก ปรากฏว่า มีแค่ 2 ทีมเท่านั้น ที่ได้เกรด A ได้แก่ เซาธ์แฮมป์ตัน กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สื่อมวลชนชื่นชมทีมซื้อขายปีศาจแดง ที่ทำงานได้สุดยอด คว้าตัว เลนี่ โยโร่, มัทไธส์ เดอ ลิกต์, โจชัว เซิร์กซี่, นุสแซร์ มัซราอุย และมานูเอล อูการ์เต้ ในช่วงซัมเมอร์เดียว
ทั้งหมดที่กล่าวมา แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้เงินซื้อไป 180 ล้านปอนด์เท่านั้น เป็นตัวเลขที่น้อยกว่าเชลซี หรือ ไบรท์ตัน เสียอีกในช่วงซัมเมอร์นี้
1
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นคือ เรื่องนอกสนามของทีมปีศาจแดงตอนนี้ ดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน หลังบ้านเริ่มมีระบบมากขึ้น ใช้เงินชาญฉลาดขึ้น และมีกลยุทธ์ในการซื้อขาย
พวกเขาไม่ใช่หมูในอวยให้ทีมอื่นกอบโกยผลประโยชน์ตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อน
ที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ดมีปัญหามาตลอดเรื่องการเจรจาซื้อผู้เล่น ซึ่งถ้าเรื่องนี้ถูกแก้ไขได้ล่ะก็ พวกเขาจะยิ่งน่ากลัวขึ้นกว่านี้มาก
เอาเป็นว่า เรื่องนอกสนามของทีมปีศาจแดง ดูจะดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ที่เรื่องในสนามเท่านั้น
อุตส่าห์มีตลาดซัมเมอร์ที่ยอดเยี่ยม จนได้รับคำชมจากสื่อมวลชนล้นหลามแล้วแบบนี้
คงต้องหวังพึ่งพาความสามารถของเอริก เทน ฮากแล้วล่ะครับ ที่จะนำพาเอาวัตถุดิบดีๆ เหล่านั้น สร้างทีมที่แข็งแกร่งขึ้น จนสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ และพาแมนฯ ยูไนเต็ด กลับไปสู่จุดที่ควรจะเป็น ไม่ใช่อันดับ 14 ของตารางแบบในวันนี้
2
#UNITEDNEWLIFE
3 บันทึก
46
1
2
3
46
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย