5 ก.ย. เวลา 14:34 • หุ้น & เศรษฐกิจ

EP 29 วิกฤตความเชื่อมั่นครั้งใหญ่: ประเทศไทยสู่จุดเปลี่ยนทางการเมืองและเศรษฐกิจ

Crisis Overview
ประเทศไทยในช่วงต้นปี 2024 ต้องเผชิญกับภาวะความไม่มั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจที่มีมาต่อเนื่องจากการเลือกตั้งปี 2023 ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองฝ่ายเสรีนิยมและกลุ่มอนุรักษ์นิยม ทำให้รัฐบาลไม่สามารถจัดการปัญหาภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ประเทศไทยประสบกับการขาดเสถียรภาพทั้งด้านการเงินและการลงทุน
Political Instability
ในปี 2024 Political Stability Index ของไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงถึงความไม่มั่นคงทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น สาเหตุมาจากปัญหาการขัดแย้งภายในระบบการปกครองและการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่สร้างความไม่แน่นอนในระบบการเมืองไทย
มุมมองนักวิชาการการเมืองทั้งไทยและต่างประเทศ หลายฝ่ายมองว่าปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการเจรจาทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งการแก้ปัญหานี้ต้องการความร่วมมือและการปฏิรูปจากทุกภาคส่วน การวิจัยจากแหล่งต่างชาติยังระบุว่าประเทศไทยต้องเผชิญความเสี่ยงต่อความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจขัดขวางการเติบโตของประเทศในอนาคต​
Economic Impact
เศรษฐกิจไทยในปี 2024 มีการเติบโตชะลอตัวลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปี 2022 โดยอัตราการเติบโตของ GDP ลดลงจากประมาณ 3.2% ในปี 2022 มาอยู่ที่ประมาณ 2.8-3.3% ในปี 2024 ส่งผลให้มูลค่าเศรษฐกิจหายไปประมาณ 60,000-75,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ปัญหาการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตซึ่งสูงขึ้นประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับปี 2022 เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้การผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และการเกษตรได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ส่งผลให้การส่งออกลดลงมากกว่าหลายแสนล้านบาท
Investor Confidence
นักลงทุนต่างประเทศเริ่มถอนการลงทุนจากไทย โดยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปี 2022 คิดเป็นมูลค่ากว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความไม่มั่นคงทางการเมือง นอกจากนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ก็ลดลงถึง 6.9% ในปี 2024 ทำให้มูลค่าตลาดลดลงหลายแสนล้านบาท
การถอนตัวของบริษัทต่างชาติจากไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิต อาทิ
  • 1.
    อุตสาหกรรมยานยนต์:Ford และ General Motors ย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามและอินโดนีเซีย
  • 2.
    อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์:Panasonic และ Sony ลดกำลังการผลิตในไทย
  • 3.
    อุตสาหกรรมเคมี: Dow Chemical ก็ย้ายการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้าน
การถอนตัวของบริษัทเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อภาคการผลิต แต่ยังทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากภาษีและการลงทุนที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจไทยประสบความยากลำบากในการดึงดูดการลงทุนใหม่ในช่วงวิกฤตนี้
Restoring Confidence
การฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเศรษฐกิจไทยสามารถเรียนรู้จากนโยบายที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ อาทิ
  • สิงคโปร์: เน้นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้วยนโยบายที่โปร่งใสและการลดภาษีการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการเงิน
  • เวียดนาม: ดำเนินการปรับปรุงกฎหมายแรงงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนและรักษาความเชื่อมั่นในการลงทุนระยะยาว
  • อินโดนีเซีย: ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  • ญี่ปุ่น: สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่ม​
Econ Insight: สอบศัพท์เศรษฐศาสตร์
  • 1.
    Investor Confidence (ความเชื่อมั่นของนักลงทุน): ความไว้วางใจและความคาดหวังของนักลงทุนเกี่ยวกับเสถียรภาพและโอกาสในการลงทุนในประเทศหนึ่ง
  • 2.
    Foreign Direct Investment (FDI) (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ): เงินทุนที่บริษัทหรือบุคคลจากต่างประเทศนำมาลงทุนในประเทศอื่น เช่น การตั้งโรงงานหรือธุรกิจ
  • 3.
    Political Instability (ความไม่มั่นคงทางการเมือง): สถานการณ์ที่รัฐบาลหรือระบบการเมืองในประเทศขาดเสถียรภาพ ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุน
บทความอ้างอิง
  • Bank of Thailand (BoT) - Provides official economic data and monetary policy
  • NESDC - Provides GDP and economic indicators
  • Ministry of Finance Thailand - Provides fiscal policy and economic regulation
  • IMF - Offers analysis of Thailand's macroeconomic conditions
  • World Bank - Publishes economic development reports on Thailand
  • OECD - Offers economic surveys and policy recommendations
โฆษณา