5 ก.ย. เวลา 14:38 • ความคิดเห็น
ทุกสังคมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีครับ ควรรับรู้แล้วปล่อยไปกรรมใครกรรมมัน และระวังไม่ให้หลงเชื่อคนไม่ดี แต่ไม่จำเป็นต้องไปตำหนิติเตียนถึงจะผิดจริงหรือไม่จริงเพราะจะทำให้จิตเราเศร้าหมอง
1
เราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครปฏิบัติถึงขั้นไหนเพราะพระอริยสงฆ์ส่วนใหญ่ท่านมีกิริยาเหมือนคนปกติทั่วไปบางทีทำอะไรแปลกๆ ที่คนธรรมดาไม่เข้าใจหรือแม้แต่ฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้าก็มีมากมายการที่เราไปตำหนิติเตียนอาจเป็นโทษโดยไม่รู้ตัว
1
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมครับ
เรื่องพระสงฆ์รับเงินหรือจับเงินมีพระวินัยห้ามไว้จริง แต่เฉพาะพระสงฆ์ที่เป็นปุถุชน ส่วนพระอริยสงฆ์ท่านรับเงินเพื่อเจริญศรัทธาและนำเงินไปบำรุงพระพุทธศาสนาท่านไม่อาบัติเพราะจิตท่านไม่ยึดว่าเงินเป็นของท่าน (คงมีหลายคนที่ค้านผมแต่ไม่เป็นไรครับ)
ส่วนพระสงฆ์ปุถุชนรับเงินเองหรือให้ลูกศิษย์รับให้ก็ตาม หากจิตคิดว่าเงินเป็นของตนปรับอาบัติขาดจากความเป็นพระทันที แม้ปัจจุบันมักยึดตามกฏหมายหรือบอกว่าต้องรับเงินเท่านั้นเท่านี้ แต่ทางธรรมสลึงเดียวก็ผิดตั้งแต่คิดแล้วครับ
มีเรื่องตัวอย่างสมัยหลวงปู่บุดดาท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านไม่จับเงินเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ท่านทำการก่อสร้างวัดอยู่มีครั้งนึงหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ท่านไปเยี่ยมและพาลูกศิษย์ไปทำบุญกับหลวงปู่ หลวงปู่ก็ไม่จับเงินเหมือนเดิม หลวงพ่อ(พระราชพรหมยาน) ท่านยึดเงินคืนแล้วบอกว่า พระอรหันต์กลัวเงินหรือ ต้องใช้เงินสร้างวัดบำรุงศาสนาเจริญศรัทธาญาติโยมไม่ได้เก็บไว้ใช้เองจะผิดอะไร หลวงปู่ท่านจึงยอมจับเงิน
บางคนห่มเหลืองโกนผมต่อหน้าไม่จับไม่รับเงินแต่ลับหลังมีเงินเป็นร้อยเป็นพันล้านไม่รู้มาจากไหน ผิดพระธรรมวินัยไหมเอ่ย สู้รับต่อหน้าแล้วนำไปใช้ให้เกิดบุญกุศลกับผู้ให้อาจจะโปร่งใสกว่า
โฆษณา