7 ก.ย. เวลา 07:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

TDRI แนะรัฐบาลใหม่ดันหมากไทยสู่ตลาดโลก ช่วยแก้ปัญหาส่งออก

TDRI เผยบทความวิจัย “หมากไทยสู่ตลาดโลก” โอกาสที่รัฐบาลใหม่จะแสดงฝีมือแก้ปัญหาการส่งออก
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เผยแพร่บทความวิจัย “การวิเคราะห์โครงสร้างห่วงโซ่คุณค่าของหมากไทย และแนวทางส่งเสริมการสร้างมูลค่าและความยั่งยืน” ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) กระทรวงเกษตรฯ ระบุว่าหมากเป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากพืชหนึ่งของโลก ที่ทั้งผลผลิตและการบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใน 6 ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ราคาหมากในตลาดที่สำคัญของโลกและราคาส่งออกหมากของไทยค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยางและปาล์ม
มูลค่าส่งออกหมากสุทธิ (ล้านบาท)
ในปี 2559-2565 หมากสร้างรายได้นับพันล้านบาทต่อปี มีมูลค่าส่งออกสุทธิ 1,045–2,151 ล้านบาทต่อปี กระทั่งในปี 2566 ที่ไทยมีปัญหาการส่งออก ก็ยังคงมีมูลค่าส่งออกสุทธิ 994 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้คาดว่ามูลค่าการส่งออกจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้ราคาส่งออกที่เคยสูงถึง 50-60 บาท/กก. ลดเหลือประมาณ 37 บาท/กก. ในปีที่ผ่านมา
แม้หมากจะสร้างมูลค่าการส่งออกได้มาก แต่กลับเป็นพืชที่ได้รับความสนใจจากภาครัฐน้อยกว่าพืชอื่น ขณะที่รายงานข้อมูลอีก 30 พืชที่มีมูลค่าส่งออกน้อยกว่าหมากมาก เช่น กาแฟ ชา พริกไทย ถั่วลิสง รวมถึงผลไม้ส่วนใหญ่ เมื่อเกิดปัญหาการส่งออกในช่วงปีเศษที่ผ่านมา ภาครัฐก็ยังไม่แก้ไขปัญหานี้
ดันหมากไทยสู่ตลาดโลก ช่วยแก้ปัญหาส่งออก
เกษตรกรไทยมักปลูกหมากเป็นพืชเสริมหรือปลูกแซมพืชอื่น การผลิตหมากในไทยช่วยสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรจำนวนมากในทุกภาค โดยเฉพาะภาคใต้ที่เป็นแหล่งผลิตหมากส่งออกสำคัญของไทย ชาวสวนยางก็มีรายได้เสริมจากการทำหมากแห้งในช่วงหยุดกรีดยางในช่วงยางผลัดใบ
ที่ผ่านมาหมากไทยส่งออกไป 2 ตลาดหลักคือ
- ตลาดหมากแห้งที่มีอินเดียเป็นปลายทางสำคัญ ซึ่งไทยเคยส่งออกผ่านเมียนมาเป็นหลัก
- ตลาดหมากสดมีจีนเป็นปลายทางสำคัญ ส่งออกผ่านเวียดนามเป็นหลัก
อินเดียเป็นทั้งประเทศผู้ผลิต บริโภค และนำเข้าหมากที่สำคัญที่สุดของโลก และหมากก็เป็นพืชการเมืองของอินเดียที่มีผู้ปลูกจำนวนมากในหลายรัฐ ที่ผ่านมารัฐบาลอินเดียมีมาตรการปกป้องหมากหลายมาตรการ ปัจจุบันการส่งออกหมากไทยไปอินเดียโดยตรงต้องเสียอากรนำเข้า 100% ของมูลค่า
และภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีกประมาณ 88 บาท/กก. ขณะที่เมียนมาเคยได้รับการยกเว้นอากรนำเข้าแต่ปัจจุบันเสียภาษี 40% นอกจากนี้อินเดียยังกำหนดราคาขั้นต่ำในการนำเข้าหมากไว้ที่ 143 บาท/กก. ทำให้ที่ผ่านมาอินโดนีเซียและไทยเลี่ยงไปส่งออกหมากแห้งผ่านเมียนมา
แต่ในสองปีหลังอินเดียเข้มงวดกับทั้งการปราบปรามหมากสวมสิทธิ์และการลักลอบนำเข้าตามชายแดน ประกอบกับเมียนมามีปัญหาสงครามภายใน ทำให้ไทยประสบปัญหาในการส่งออกหมากผ่านเมียนมาเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่าหมากไทยบางส่วนจะถูกส่งไปบังกลาเทศซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจากอินเดีย แต่ก็ส่งออกทางนี้ได้น้อยมาก
ในส่วนของตลาดหมากสดที่มีปลายทางที่จีนนั้น แม้ปัญหาจะไม่รุนแรงเท่า แต่การส่งออกก็ชะงักไปในบางปี (เช่น 2566) และอาจเป็นตลาดที่อนาคตไม่สดใสมากนัก ซึ่งขึ้นกับนโยบายของจีนด้วย ถึงแม้ว่าการบริโภคหมากในจีนน่าจะยังเพิ่มขึ้นจากการมีผลิตภัณฑ์แปรรูปเป็นอาหารหรือขนมขบเคี้ยวที่ดึงดูดผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาได้ไม่น้อย จากปัญหาที่เกิดขึ้น รัฐบาลไทยควรเร่งหาทางแก้ไขเพื่อช่วยเกษตรกร ซึ่งผู้วิจัยเสนอให้ใช้มาตรการดังต่อไปนี้
มาตรการแรก เร่งเจรจาทางการค้ากับประเทศผู้ซื้อปลายทางที่สำคัญโดยตรง โดยเฉพาะตลาดอินเดีย ซึ่งไทยควรเร่งเจรจากับรัฐบาลอินเดียโดยใช้หรืออ้างอิงกลไกการเจรจาการค้าที่มีอยู่แล้วอย่าง BIMSTEC, FTA ไทย-อินเดีย และ FTA อาเซียน-อินเดีย (AIFTA) เพื่อขอปรับลดภาษีศุลกากร และขอโควตายกเว้นการใช้ราคานำเข้าขั้นต่ำกับหมากไทย (คล้ายกับที่อินเดียยกเว้นให้ภูฏานปีละ 17,000 ตัน)
แม้อาจไม่ง่ายเพราะหมากเป็นสินค้าการเมืองที่สำคัญของอินเดีย แต่อินเดียก็ยังมีหมากไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าจากประเทศที่มีหมากเหลือมากอย่างอินโดนีเซียหรือไทย ถ้ารัฐบาลเจรจากับอินเดียได้สำเร็จจะช่วยลดความเสี่ยงในการส่งออกหมากไทยไม่ให้ขึ้นกับผู้ค้าต่างชาติเกือบทั้งหมดที่ทำให้การส่งออกต้องหยุดชะงักเมื่อผู้ค้าต่างชาติหยุดรับซื้อเช่นตั้งแต่กลางปี 2566 ถึงต้นปี 2567
มาตรการที่สอง ไทยควรหาลู่ทางขยายตลาดส่งออกหมากเพิ่มขึ้น ทั้งตลาดใหม่ ๆ เช่นในยุโรปและตะวันออกกลางที่มีแรงงานและผู้อพยพจากเอเชียเข้าไปมากขึ้น หรือตลาดที่มีอยู่แต่ที่ผ่านมาไทยยังเข้าไม่ถึง โดยในกรณีหลังไทยควรศึกษาจากอินโดนีเซียที่เป็นผู้ส่งออกหมากรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่นอกจากอินโดนีเซียจะใช้วิธีแข่งด้วยราคาแล้ว ยังปรับช่องทางการขายหมากได้ตลอด
ปริมาณส่งออกของอินโดนีเซียไปประเทศต่าง ๆ (ตัน)
มาตรการที่สาม ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์หมาก ปัจจุบันหมากไทยถูกขายเป็นสินค้าแปรรูปขั้นต้น ขณะที่อินเดียและจีนแปรรูปหมากและมีผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ นอกจากนี้หมากมีสารกระตุ้นที่อาจพัฒนาเป็นยาต้านโรคซึมเศร้าได้ และในปัจจุบันก็พบว่ามีสารที่ต้านอนุมูลอิสระด้วย
ดังนั้นภาครัฐควรสนับสนุนการวิจัยพัฒนาในด้านยา แม้จะมีข้อควรระวังที่รัฐไม่ควรส่งเสริมการบริโภคหมากโดยตรง ไม่ว่าหมากสด หมากแห้ง ผงหมาก หรือขนมขบเคี้ยว เพราะมีหลักฐานว่าหมากมีสารก่อมะเร็งในช่องปาก การพัฒนาจึงควรส่งเสริมการสกัดสารต่าง ๆ ในหมากออกมาศึกษาวิจัยคุณสมบัติทางยาเป็นหลัก
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/trick-trend/232067
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา