6 ก.ย. 2024 เวลา 13:39 • ท่องเที่ยว

ปราสาทสัจจธรรม .. ปณิธาน และศรัทธาของผู้สร้าง

ความประทับใจของฉันที่มีต่อปราสาทสัจจะธรรมมีขึ้นนับแต่ผู้เป็นเจ้าของ .. คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ริเริ่มแนวความคิดที่จะสร้างสถาปัตยกรรมให้กับประเทศไทยและแก่สังคมโลก
ฉันชื่นชม และชื่นชอบแนวความคิดที่ท่านต้องการจะสืบสานศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมผสมผสานที่มีพื้นฐานมาจากลัทธิ ความเชื่อ .. ที่มีเรื่องราว มีที่มาที่ไป ให้น่าศึกษา … ตามความเชื่อส่วนตัวของท่าน โดยตั้งใจที่จะทำทุกจุดให้สมบูรณ์มากที่สุด โดยไม่มีเวลามาเป็นตัวกำหนด
1
ฉันชื่นชมในฝีมือเชิงช่างชั้นครูที่เยี่ยมยอด ที่เป็นสาเหตุให้ฉันแวะเวียนไปเยี่ยมชม … ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ฑโเบื่อ แม้หลายคนจะบ่นว่าค่าเข้าชมแพง ..
แต่ฉันว่า เราทุกคนน่าจะช่วยกันสนับสนุนให้มาก .. รักษา ส่งเสริมสิ่งมหัศจรรย์สวยงามอลังการอย่างนี้ที่เกิดในยุคสมัยของเรา ให้สามารถส่งผ่านเป็นมรดกของลูกของหลานอีกหลายชั่วคน
ความคิดของคุณเล็ก ที่จัดสร้างปราสามสัจจะธรรมเกิดขึ้นเมื่อสร้างเมืองโบราณมาได้สิบกว่าปี โดยเริ่มสร้างมาตั้งแต่ปี 2524
.. โดยเห็นว่าพื้นที่ติดทะเลที่พัทยาแปดสิบกว่าไร่นั้นมีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สวยงาม น่าจะสร้างสิ่งที่มีคุณค่าทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมที่มีคุณค่าและวัฒนธรรมขึ้นมา เพราะบริเวณใกล้เคียงต่างก็มีอาคารทางเศรษฐกิจที่เน้นความต้องการทางวัตถุเต็มไปหมด
ปราสาทสัจจะธรรมจึงถูกสร้างขึ้นมา และความมุ่งหมายนั้นมิใช่เพื่อแสดงความงดงามหรือยิ่งใหญ่ในด้านศิลปะสถาปัตยกรรมอย่างที่คนทั่วๆไปคิดกัน หากแต่เป็นสิ่งที่จะสื่อให้คนได้เห็นสัจจะธรรมในศาสนาและปรัชญาที่จรรโลงโลกให้มีความสุข
คุณเล็กไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นปราชญ์หรือศาสดาที่สั่งสอนคนทั้งโลกด้วยตนเอง แต่เป็นเพียงผู้เสพความรู้ทางศาสนาและปรัชญาที่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกได้สร้างไว้แต่ก่อน
ตนเองเป็นเพียงแต่ผู้เลือกสรรสิ่งที่เห็นว่าดีงาม และที่เหมาะควร มาสื่อให้กับคนทั่วไปเท่านั้น
คุณเล็กมีปรัชญาว่า … มนุษย์จะถือกำเนิดและดำรงอยู่มิได้ หากขาด 7 สิ่งได้แก่ ฟ้า ดิน พ่อ แม่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว
ปราสาทสัจจะธรรมได้นำเสนอสิ่งก่อกำเนิดทั้ง 7 ผ่านรูปแกะสลักไม้ ซึ่งประดับอยู่ในปราสาท และบนยอดทั้งสี่ด้าน แสดงถึงปัจจัยสี่ประการที่จะนำไปสู่โลกอุดมคติ ตามความคิดของตะวันออก นั่นคือ
• เทวดาถือดอกบัว หมายถึงสิ่งที่เป็นหลักให้แก่โลก คือศาสนา (ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา)
• เทวดาอุ้มเด็กจูงคนชรา หมายถึงการให้กำเนิดชีวิตแก่มนุษย์ (เด็กและคนชราคือ ความสืบเนื่องของมนุษย์)
• เทวดาถือหนังสือ หมายถึงการต่อเนื่องปรัชญาอมตะ (หนังสือ คือสัญลักษณ์ของปรัชญา)
• เทวดามีนกพิราบเกาะมือ หมายถึงความสงบสุขของมนุษย์ (นกพิราบ คือสัญลักษณ์ของความสงบสุข)
ส่วนยอดสูงสุด คือพระกัลกีทรงม้า สัญลักษณ์ของโลกหน้าในอุดมคติ ซึ่งเป็นยุคของพระศรีอารยะเมตรัย พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าที่จะเสด็จมาตรัสรู้บนโลกมนุษย์เป็นองค์สุดท้าย คือ องค์ที่ห้าในภัทรกัปป์ ซึ่งชาวตะวันออกเชื่อว่าจะมีแต่ศานติ
ปราสาทแห่งนี้ คือที่หมายให้มนุษย์มาชุมนุม เพื่อตระหนักถึงสิ่งก่อกำเนิดทั้งเจ็ด และปัจจัยทั้งสี่ที่จะทำให้โลกมนอุดมคติเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นโลกเล็กๆเฉพาะตัวบุคคล หรือโลกทั้งมวล
ขั้นตอนที่มนุษย์จะต้องผ่านไปก่อนถึงอุดมคตินั้น ย่อมจะต้องมีการต่อสู้กันระหว่างกรรมกับ ธรรม ทั้งในจิตและสนามรบ ซึ่งผู้สร้างได้สื่อถึงนัยยะไว้ในงานแกะสลักไม้ทั้งหมด
… โดยเฉพาะมหากาพย์ มหาภารตะ และรามายณะ ก็เล่าเรื่องราวให้กำลังใจแก่มนุษย์ หรือแม้กระทั่งตัวผู้สร้างปราสาทสัจจะธรรมในอันที่จะฝ่าฟันกิเลส ตันหาในตัว
ปราสาทสัจจะธรรมที่คุณเล็กสร้างขึ้นก็เพื่อเป็นที่สืบคุณธรรมเหล่านี้ เป็นปราสาทจตุรมุขที่มีความหมายที่เป็นแกนกลางของจักรวาลตามคติโบราณในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
.. เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับเทพเจ้า หรือบุคคลที่ทรงคุณธรรมเทียมเทวดา
ตรงกลางปราสาทมีบุษบกตั้งอยู่ โดยมีความหมายว่าบุคคลใดที่ประพฤติดี มีคุณธรรม ก็มีความชอบธรรมที่จะไปนั่งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลได้
ภาพแกะสลักไม้ที่สำคัญหลายแห่ง คือสิ่งที่สื่อและเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรมที่สำคัญที่จรรโลงความเป็นมนุษย์และสันติสุขในโลก
สิ่งที่โดดเด่นที่ทำให้ปราสาทสัจจะธรรมไม่เหมือนที่ใดในโลกก็คือ การประดับแทบทุกส่วนของปราสาทด้วยประติมากรรมรูปสลักของเทพเจ้า และบุคคลในศาสนาและวรรณคดีอย่างมากมาย
ทำให้ดูเหมือนว่าปราสาทแห่งนี้ มีเทพและบุคคลสถิตอยู่และมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
การที่ทำเช่นนี้เพราะคุณเล็กมีความเห็นว่า ศิลปะเป็นสิ่งแสดงออกถึงความรู้สึกที่ดีงามของมนุษย์ จึงได้นำเอาภาพประติมากรรมในศาสนา สังคม และวัฒนธรรมต่างๆของชาวเอเซีย มาแกะสลักและประดับไว้
ที่มาของภาพเหล่านี้ ล้วนปรากฏอยู่ในหนังสือศิลปะวัฒนธรรมที่มีการตีพิมพ์และแพร่หลายจนเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว ซึ่งคุณเล็กใช้เวลาอ่านและเลือกเฟ้นภาพเหล่านี้ด้วยตนเอง รวมทั้งการคุมการแกะสลักด้วย
ปราสาทสัจจะธรรม คือตัวแทนที่สื่อแสดงให้เห็นถึงความนึกคิดและความต้องการของคุณเล็กในด้านปรัชญาและศิลปะและวัฒนธรรม
เมื่อสร้างเสร็จแล้วคุณเล็กต้องการให้เป็นสถานที่ที่นักปราชญ์ และนักปรัชญาเมธีจากที่ต่างๆในโลกได้ปรากฏตัว และพูดสิ่งที่เป็นปรัชญาและคุณธรรมให้คนทั้งหลายฟัง แต่ในยามปกติก็จะเป็นสถานที่ทางศิลปะวัฒนธรรมให้คนทั่วไปได้เข้าชม เพื่อให้แลเห็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิต วิญญาณ
วันนี้ ถึงแม้ว่าปราสาทจะก่อสร้างมาแล้วหลายสิบปี แต่ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ คาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกมาก
แต่ถึงจะยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี แต่เราสามารถเดินขึ้นไปบนปราสาทได้ .. ผู้สูงอายุ ก็มีลิฟท์ให้ใช้ได้สะดวก
ภายในปราสาทมีเสาไม้ 170 ต้น ที่มีเส้นรอบวงและความสูงขนาดยักษ์ใหญ่ขนาดที่คนเดียวโอบไม่รอบ ปรากฏเป็นแถวเป็นแนว เสาบางต้นไม่ได้เกลี้ยงเกลาอวดเนื้อไม้เฉยๆ แต่มีการแกะสลักลงบนเสาให้มีลวดลายละเอียดยิบงดงามไม่มีที่ติ ประโยชน์ของเสาเหล่านี้
… แน่นอนเพื่อค้ำจุน ต่อสู่กับแรงโน้มถ่วงของโลก และกาลเวลา แต่กระนั้นสิ่งที่น่าฉงนก็คือ ต้นไม้ที่ให้ไม้ขนาดใหญ่เหล่านี้จะต้องมีอายุเก่าแก่เพียงไร จึงจะกลายมาเป็นเสาแต่ละต้นได้ ….
ฉันชอบมุขด้านที่เปิดหันหน้าออกทะเล ที่เปรียบเสมือนประตูรับผู้มาเยือน จากที่นี่มองลอดช่องประตู …
มองออกไปเห็นผืนทะเลและท้องฟ้ากว้าง อีกทั้งยังเป็นช่องให้แสงลอดเข้ามากระทบกับแผ่นไม้แกะสลักแผ่นใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่ผนังทั้งสองข้างที่ดูขรึมขลัง … เกิดเป็นภาพที่งดงามแปลกตา
รอบพื้นที่ระหว่างทะเลกับตัวปราสาทมีกำแพงปูนสร้างเลียนแบบกำแพงแก้วปิดกั้นอยู่ หากลอยเรืออยู่ในทะเล มองไกลๆเหมือนปราสาทลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ ดูอลังการสง่างามมาก
การทำงานของช่างทุกคนจะใช้โมเดลเป็นแม่แบบ บริเวณทำงานจะมีโมเดลที่เป็นแบบร่างโดยย่อส่วนลงมาตั้งเป็นแบบอยู่
เมื่อจะทำงานตรงส่วนใด ช่างก็จะมาศึกษาและสั่งงานกันจากโมเดล ทำให้การสื่อสารระหว่างกันง่ายขึ้น เพราะต่างมองเห็นภาพที่ตรงกัน
ปราสาทไม้ที่สวยงามแห่งนี้ก่อกำเนิดจากความตั้งใจอย่างแรงกล้าของชายคนหนึ่ง … แต่จะอยู่ไปตราบนานเท่านาน เพื่อเป็นมรดกของโลก
ปราสาทสัจจะธรรมในสายตาผู้พบเห็น
ความฝัน .. เปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจของคนเราให้เจริญเติบโตและงดงาม
คนที่มีความฝัน .. คือคนที่ยังไม่สิ้นหวัง ฝันของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นความฝันที่เล็กน้อย หรือใหญ่โตเพียงใด หากประกอบด้วยตั้งใจแน่วแน่ .. ฝันนั้นก็จะเป็นจริงได้ในสักวัน
สถาปัตยกรรมที่ใหญ่โตมโหฬาร ณ เบื้องหน้าฉันขณะนี้เกิดจากความฝันและความตั้งใจจริงของชายคนหนึ่ง ที่ต้องการให้ผลงานชิ้นนี้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศไทย และของโลก สื่อถึงความศรัทธา เป็นเหมือนเครื่องค้ำจุนมิติด้านจิตวิญญาณ
สถาปัตยกรรมนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ปราสาทสัจจะธรรมหรือ Sanctuary of Truth เป็นปราสาทไม้ตั้งอยู่ริมทะเลบริเวณราชเวช นาเกลือ ใกล้ๆกับพัทยาเหนือ เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2524 ชาวบ้านแถวๆนั้นมักเรียกขานสิ่งก่อสร้างใหญ่โตนี้ว่า “วังโบราณ” หรือบ้างเรียกขานกันว่า “ปราสาทไม้”
ปราสาทสัจจะธรรม เป็นศิลปะสถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยไม้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษ ซึ่งเป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้ ด้วยความสูงถึงยอดพระศรีอารยะรวมแล้ว 105 เมตร มีความกว้างยาวด้านละ 100 เมตร ทั้ง 4 ทิศ
ความหมายในด้านนามธรรมได้สะท้อนและสื่อให้เห็นถึงความสำคัญของศาสนาและปรัชญาซึ่งเป็นสิ่งค้ำจุนโลก สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือปรัชญาในการมุ่งสู่ความหลุดพ้นสู่โลกหน้าในอุดมคติ ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม
ปราสาทสัจจะธรรมแห่งนี้อุบัติขึ้นจากจากสำนึกของคนตะวันออกที่ว่า ความเป็นมนุษย์ที่ผ่านมานับพันปีเป็นสิ่งจรรโลงโลกมาได้ด้วยสัจจะธรรมทางศาสนาและปรัชญา โดยมีศิลปะเป็นสื่อของเนื้อหาและความหมาย จุดประสงค์หลักของการสร้างปราสาทไม้ก็เพื่อรวบรวมรูปแบบ สืบสานและฟื้นฟูภูมิปัญญาของคนไทยโบราณของสถาปัตยกรรมทุกยุคทุกสมัยจากทุกถิ่นมาไว้ในบริเวณเดียวกัน
… มิใช่การลอกเลียนแบบของโบราณ แต่เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างสรรค์ขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเสาะแสวงรูปแบบที่เหมาะสม สอดคล้อง ผสานกับจารีตจากอดีต แล้วก่อเกิดเป็นนฤมิตรศิลป์ชิ้นใหม่ เพื่อเป็นตัวแทนที่แสดงถึงการพัฒนางานศิลปะ วัฒนธรรมของงานฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 9 อีกด้วย
โครงสร้างถือเป็นงานวิศวกรรมที่สำคัญที่สุดของสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ของปราสาท เพราะต้องสู้กับมวลขนาดมหึมาที่ต้องแบกรับเอาไว้
เรามักจะเห็น หิน ศิลาแลง อิฐและปูนเป็นวัสดุอันดับแรกๆที่เรามักเห็นในโบราณสถานต่างๆ เพราะเชื่อว่าวัสดุเหล่านั้นมีความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ สัตว์และแมลง แต่ไม้กลับไม่ค่อยมีให้เห็น แม้แต่สถาปัตยกรรมในสมัยสุโขทัยและอยุธยาที่ส่วนเครื่องบนที่ทำด้วยไม้ ไม่สามารถอยู่ทนข้ามกาลเวลามาจนถึงปัจจุบันได้
ปราสาทสัจจะธรรม เป็นอาคารที่สร้างด้วยไม้แกะสลักทั้งหลังเป็นทรงไทยจตุรมุข (มหาปราสาท) โดยใช้สัดส่วนที่ทำให้สถาปัตยกรรมดูใหญ่โตอลังการทั้งในแนวดิ่งและในแนวราบ
ซึ่งเป็นพื้นฐานของของงานออกแบบปราสาท วิหาร หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้เพื่อทำให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมมองเห็นความยิ่งใหญ่ ตั้งแต่หน้าทางเข้าไปจนถึงโถงด้านใน
ยอดหลังคาเป็นรูปพรหมสี่หน้า สร้างขึ้นเพื่อสื่อถึงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของผู้ปกครอง ทั้ง พ่อแม่ ครูอาจารย์ ผู้บริหารผู้นำประเทศ และพระเจ้าแผ่นดินที่ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งถือเป็นธรรมประจำใจที่ทุกควรถือปฏิบัติเพื่อความสงบสุขในสังคม
หลังคาของมุขทั้ง 4 ด้านออกแบบเป็นปราสาททรงอ่อนตามแบบสมัยอยุธยา ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา บนยอดของเสามีไม้แกะสลักเป็นรูปเทพ เทวดา นางฟ้า มากมายประดับอยู่ตามความเชื่อของคนเอเซียตะวันออก ทั้งความเชื่อที่แสดงออกด้วยรูปแบบศิลปะของไทย จีน เขมร และอินเดีย
ด้านล่างของฐานเป็นลักษณะฐานสิงห์ ห้องโถงและหน้าต่างเปิดให้ลมและแสงสว่างเข้าออกทั้ง 4 ด้าน ตกแต่งเป็นศิลปะแนวความคิดสมัยใหม่ที่ผสมผสานศิลปะอยุธยาตอนต้นจนถึงศิลปะรัตนโกสินทร์
หลังคาซ้อนลดหลั่นกันสี่ด้าน ยอดเป็นสัญลักษณ์พระปรางค์ ยอดสูงทั้งสี่ด้าน มีรูปแกะสลักลอยตัวสัญลักษณ์ของเทพยืนบนยอดทั้ง 4 ทิศ
ปราสาทสัจจะธรรม จึงเป็นสถาปัตยกรรมที่ท้าทายทั้งในแง่ของรูปแบบและโครงสร้าง เป็นปราสาทรูปทรงจัตุรมุขสูง 105 เมตร หลังคาเป็นทรงท้องเรือสำเภา ซึ่งเป็นทรงที่นิยมกันตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททอง
โครงสร้างและเครื่องตกแต่งทั้งหมดสร้างจากไม้เนื้อแข็งทั้งชิ้น เช่นไม้ตะเคียนทอง ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้เต็ง ไม้สักทอง ใช้ผสมผสานกันในการก่อสร้าง ซึ่งการก่อสร้างไม่มีการตอกตะปู แต่ใช้การเข้าเดือย ตอกสลักตอกลิ่ม และเข้าหางเหยี่ยวแทน
สิ่งที่ทำให้ปราสาทสัจจะธรรมแตกต่างจากปราสาททั่วไปก็คือ ทั้งภายนอกและภายในตัวโครงสร้างจะถูกประดับประดาตกแต่งด้วยรูปแกะสลักไม้ทั้งหมด
งานจำหลักไม้เป็นองค์เทพ เทวดา และลวดลายอันวิจิตรหลากหลาย ซึ่งสะท้อนความคิด วิถีทัศน์ที่จารึกในแหล่งวัฒนธรรมตะวันออก ให้โลกเห็นถึงความลึกซึ้งสมบูรณ์ในด้านจิตวิญญาณที่มีมาช้านาน
.. ประกาศแก่โลกว่าความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และจักรวาลอันได้แก่ พ่อ แม่ ดิน ฟ้า พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว ซึ่งประติมากรรมเหล่านี้มาจากบทตอนย่อยๆของ ตีมูรติ มหาภารตะ รามายนะ และตำนานโพธิสัตว์ ซึ่งในทิศต่างๆรูปสลักเหล่านี้จะไม่เหมือนหรือซ้ำกันเลย
พิพิธภัณฑ์ปราสาทสัจธรรม มีประติมากรรมไม้แกะสลักที่วิจิตรพิสดารอยู่แทบทุกจุดของปราสาท ซึ่งแบ่งออกเป็น
ห้องโถงกลางปราสาท มี “มหาบุษบก” .. มีบุษบกทรงสถูปไม้แกะสลักสูง สง่างาม ไม่มีเทวรูปใดๆประดับ ซุ้มประตูไม้แกะสลักประตูใหญ่ทั้ง 4 ด้านสื่อถึงสัญลักษณ์แห่งการหลุดพ้นอันเป็นอมตะสัจจะธรรม
… และสัญลักษณ์ทางเข้าสู่จักรวาลหรือความหมายของอริยะสัจ 4 ที่เป็นหัวใจในหลักคำสั่งสอนแห่งพุทธศาสนา และมหาบุษบกวิมานเป็นสัญลักษณ์สื่อความว่างเปล่าแห่งจักรวาลหรือนิพพาน เป็นดั่งศูนย์กลางในจักรวาล
ห้องโถงด้านทิศเหนือ ... เป็นภาพสลักนูนและลอยตัว การพัฒนาสังคมและจิตวิญญาณ สื่อถึงประติมากรรมและจำหลักความเชื่อของลัทธิเต๋า-ขงจื๊อ ตามคติความเชื่อของพุทธนิกายมหายาน ที่แสดงถึงความมีคุณธรรมสูงส่งของพระโพธิสัตว์ในลัทธิพุทธมหายาน พระโพธิสัตว์ พระมัญชูสณีเทพ และเทพอื่นๆ
มนุษย์แม้ว่าจะมีชาติกำเนิดที่แตกต่างกัน แต่ถ้ามุ่งมั่นเป็นคนดีก็สามารถหลุดพ้นบ่วงกรรม โดยปลดปล่อยตัวจากสิ่งสมมุติและกิเลส ตัณหา อุปทาน แล้วเรียนรู้การเสียสละ การแบ่งปันกันด้วยความรักซึ่งกันและกัน มนุษย์นั้นสามารถหลุดพ้นจากบ่วงแห่งกรรมได้เช่นกัน
ห้องโถงด้านทิศใต้ ..เป็นภาพสลักไม้นูนสูง ดวงดาว-พระอาทิตย์-พระจันทร์ ภาพจำหลักแสดงถึงพระอาทิตย์ พระจันทร์ และประติมากรรมลอยตัวรูปเทพเจ้าประจำดาวนพพระเคราะห์ที่โคจรอยู่บนฟากฟ้า ดวงดาวเหล่านี้มีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต ส่งผลต่อสรรพสิ่ง ทำให้เกิดการวิวัฒนาการและพฤติกรรมต่างๆ บนโลก คติอันเก่าแก่ของดาวนพเคราะห์ที่มีต่อชีวิตมนุษย์
ที่หน้าต่างเป็นเรื่องราวของนารายณ์อวตารเป็นพระกฤษณะ ใช้ลวดลายผสมผสานกับลายไทย ลายกนก ลายพฤกษชาติ และลายก้านขด
ห้องโถงด้านทิศตะวันออก : เป็นรูปสลักไม้ลอยตัวขนาดใหญ่ สร้างให้เป็นสัญลักษณ์ของสถาบันครอบครัว ที่บ่งบอกถึงความรัก เป็นเรื่องสะท้อนถึงคติความเชื่อของชาวเอเชียตะวันออก
.. พ่อและแม่ (ความกตัญญูรู้คุณ) สื่อถึงประติมากรรมแกะสลักลอยตัวเป็นรูปพ่อแม่ ผู้ก่อกำเนิดให้ชีวิตด้วยความรัก ความเมตตา ห่วงใยต่อบุตรและธิดา ความรักของพ่อแม่ยิ่งใหญ่และใสสะอาดบริสุทธิ์ เพราะมีแต่ให้ไม่หวังผล
ทิศตะวันตก : เป็นรูปจะหลักไม้นูนสูงและลอยตัว เกี่ยวกับคติความเชื่อของอินเดีย ที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและผู้เป็นอมตะ มีอยู่ 3 องค์ด้วยกัน คือ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม ที่เรียกว่า “ตรีมูระติ”
ห้องโถงด้านทิศตะวันตก .. ฟ้า ดิน (ธาตุ4) ภาพจำหลักที่แสดงถึงเรื่องราวการก่อกำเนิดของโลกที่ประกอบขึ้นด้วยมหาภูตะรูป หรือ ธาตุทั้ง 4 เริ่มตั้งแต่ปฐมกาล “ฟ้า (จักรวาล)” สื่อถึงธาตุลมและธาตุไฟในจักรวาล และ “ดิน” สื่อถึงธาตุน้ำและธาตุดิน เป็นสถานที่ที่เป็นแหล่งก่อกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง
ความหลากหลายของศิลปะที่มารวมอยู่ในที่เดียวกัน .. ทำให้สถานที่แห่งนี้จึงเป็นมากกว่าสถานที่พักผ่อนอันสงบ ผู้ที่สนใจสามารถใช้เวลาเที่ยวชมและหาความรู้ได้อย่างเต็มที่
โฆษณา