7 ก.ย. เวลา 14:30 • หนังสือ

แนะนำหนังสือ 4 เล่มช่วยสร้างความมั่งคั่ง พลิกชีวิตคนกลัวจนสู่เศรษฐีในวัย 37 ปี ของโจนาธาน ซานเชซ

หนังสือที่ดีคือขุมสมบัติอันมีค่าของข้อมูลและความรู้ มันสามารถสร้างกรอบคิดใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้เลย
และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ โจนาธาน ซานเชซ (Jonathan Sanchez) เศรษฐีที่สร้างความมั่งคั่งกว่า 35 ล้านบาทขึ้นมาด้วยตัวเองในวัย 37 ปี
เขาเกิดมาในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว ซานเชซ มีนิสัยมัธยัสถ์มาตั้งแต่ยังจำความได้ ทุกอาทิตย์แม่ของเขาจะเอาหนังสือพิมพ์มานั่งตัดคูปองส่วนลดเก็บเอาเพื่อใช้ในครอบครัว การบริหารจัดการเงินจึงเหมือนถูกฝังอยู่ในหัวโดยไม่รู้ตัว
ในช่วงที่เติบโตเขาก็มีกรอบความคิดเรื่องการเงินว่ามันเป็นของหายาก ตกอยู่ในสภาวะที่ใจกังวลหมกมุ่น อยู่กับความกลัวว่าไม่มีเงินหรือที่เรียกว่า “scarcity mindset” อยู่ตลอด แต่เขาบอกว่ามีหนังสืออยู่ 4 เล่มที่อ่านแล้วช่วยเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเรื่องการเงินและกลายเป็นรากฐานความมั่งคั่งในชีวิตของเขาไปตลอดกาล
จากคนที่ไม่กล้าลงทุน เก็บทุกบาทเพราะความกลัว ซานเชซเริ่มลงทุนในอสังหาฯ ทำธุรกิจเล็กๆ และเริ่มสร้างความมั่งคั่งในชีวิต เขาบอกว่าบทเรียนจากหนังสือเหล่านี้ช่วยผลักดันให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น และที่สำคัญความผิดพลาดที่เกิดในหนังสือก็ช่วยให้เขาหลบเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองด้วย
[ นี่คือหนังสือสี่เล่มที่ซานเชซแนะนำ 📚 ]
📍 1.“Rich Dad, Poor Dad” โดย โรเบิร์ต คิโยซากิ (Robert Kiyosaki)
บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้ : ความมั่งคั่งเป็นเรื่องของเวลาไม่ใช่เรื่องเงิน
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่คลาสสิกที่สุดเล่มหนึ่ง (มีแปลไทยชื่อว่า “พ่อรวยสอนลูก”) โดยคิโยซากิเป็นผู้ประกอบการและนักเขียนที่มีหนังสือขายดีออกมาหลายเล่ม เป็นนักลงทุน และนักพูดที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องการเงินส่วนบุคคล โดยในหนังสือเล่มนี้คิโยซากิจะแนะนำให้ลองปรับแนวคิดของเรา จาก “ฉันไม่มีเงินพอจะซื้อมันได้” ไปเป็น “ทำยังฉันถึงจะมีเงินซื้อมันได้?”
ซานเชซบอกว่า “มุมมองตรงนี้ได้ท้าทายให้ผมมองหาทางแก้ไขปัญหาเมื่อเจอกับอุปสรรค แทนที่จะคิดว่าบางอย่างมันเอื้อมไม่ถึงหรอก”
เมื่อเราพูดถึงความมั่งคั่งหรือความร่ำรวย เรามักจะคิดถึงเรื่องเงินและรายได้ที่ใครสักคนหามาได้ ลงทุนได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ มีพอร์ตกี่ร้อยกี่พันล้าน แต่สำหรับซานเซซแล้วตอนนี้เขากลับมาว่า “เงินซื้อเวลาได้มากแค่ไหน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาพยายามหาวิธีสร้างรายได้แบบที่ไม่ต้องใช้เวลาทำงานเพื่อแลกเงิน (Passive Income) หลายๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบนเว็บไซต์หรืออสังหาฯ นั่นเอง
📍 2.“The E-Myth Enterprise,” โดย ไมเคิล อี. เจอร์เบอร์ (Michael E. Gerber)
บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้ : คุณอยากทำธุรกิจ แต่ไม่ได้อยากไปติดอยู่ในนั้น
เจอร์เบอร์เป็นโค้ชธุรกิจและเป็นผู้ประกอบการ ในหนังสือ The E-Myth Enterprise เขาบอกว่าความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดที่เจ้าของธุรกิจทำคือการรับงานมามากจนเกินไป งานที่ต้องไปจัดการทุกวัน งานที่ฝ่ายปฏิบัติการควรจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบดูแล จนสุดท้ายก็กลายเป็นเบิร์นเอาต์
ซานเชซเล่าว่าตอนที่เขากับภรรยาเริ่มทำเว็บไซต์ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการเงินและสร้างความมั่งคั่ง พวกเขาก็ทำทุกอย่างเองทั้งหมดเลย ตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ไปจนกระทั่งการทำการตลาดออนไลน์
แต่หลังจากเริ่มมีรายได้เข้ามา ก็เริ่มเอาระบบเข้ามาคุม กระบวนการทำงานมีมาตรฐานมากขึ้น จ้างพนักงานฟรีแลนซ์เขียนงานหรือคนทำกราฟิกต่างๆ รวมไปถึงผู้ช่วยออนไลน์ด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีป้องกันไม่ให้เบิร์นเอาต์ ทำงานมากเกินไป และสามารถไปโฟกัสกับการสร้างและต่อยอดไอเดียธุรกิจด้วย
📍 3.“The Millionaire Real Estate Investor,” โดย แกรี เคลเลอร์ (Gary Keller)
บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้ : เงินคือสิ่งที่ทำให้ตัวตนของคุณที่เป็นอยู่แล้วชัดเจนมากขึ้น
เคลเลอร์ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทอสังหาฯ Keller Williams หนึ่งในบริษัทที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของอเมริกา เล่าถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาและบอกว่าเงินไม่ได้ทำให้ใครเป็นคนชั่ว เพียงแต่มันเป็นตัวขยายตัวตนของคนคนนั้นให้ชัดเจนมากขึ้นต่างหาก
พูดง่ายๆ คือถ้าใครมีนิสัยจับจ่ายใช้สอยที่ไม่ดี ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายอยู่แล้ว มีเงินเข้ามาในกระเป๋ายิ่งทำให้ยากจะต้านทานความรู้สึกอยากเอาเงินตรงนั้นไปใช้จ่ายนั่นเอง หรือถ้าคนที่มีนิสัยชอบช่วยเหลือคนอื่น การมีเงินมากขึ้นก็จะเอาเงินไปช่วยคนอื่นมากขึ้นด้วย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญอันดับแรกบนเส้นทางไปสู่ความมั่งคั่งไม่ใช่เรื่องการหาเงินให้มากที่สุด แต่เป็นการปรับเปลี่ยนนิสัยทางการเงินให้พร้อมที่จะมีเงินมากขึ้นต่างหาก เรียนรู้ที่จะควบคุมการใช้จ่าย การทำบัญชี การสร้างแผนการเงินส่วนตัว วางเป้าหมายที่ชัดเจน แยกให้ออกระหว่างสิ่งที่อยากได้กับสิ่งที่จำเป็น
เมื่อมีเงินมากขึ้น รากฐานที่แข็งแรงตรงนี้จะยิ่งทำให้เราไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้เร็วขึ้นด้วย
ซานเชซบอกว่า “ผมกับภรรยามาจากครอบครับที่ไม่ได้มีอะไรมาก เพราะฉะนั้นเลยยังมีนิสัยของความมัธยัสถ์อยู่ เรารู้สึกว่าตัวเองได้รับพระพรเป็นอย่างมากที่มาถึงจุดนี้ทางการเงิน แต่มันมีความหมายมากกว่าที่งานที่เราทำตอนนี้ได้ช่วยสอนให้คนอื่นๆ สร้างความมั่งคั่งของตัวเองด้วย​“
📍 4.“The Last Lecture,” โดย แรนดี เพาช์ (Randy Pausch)
บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้ : อย่ากลัวที่จะลงมือทำ
เพาช์เป็นศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลล่อน คุณพ่อของลูกเล็ก ๆ 3 คน ผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้ายที่ไม่มีทางรักษา ในปี 2007 เขาขึ้นบรรยายเลกเชอร์ครั้งสุดท้ายว่าด้วยการใช้ชีวิต และความฝันในวัยเยาว์ การบรรยายครั้งนั้นส่งผลต่อคนนับล้าน ๆ ชีวิตทั่วโลก โดยเลกเชอร์ครั้งนั้นมีชื่อว่า “Really Achieving Your Childhood Dreams” (มีลิงก์ในคอมเมนต์)
โดยเลกเชอร์ครั้งนี้ เพาช์ไม่ได้พูดเรื่องสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ เรื่องมะเร็งร้าย เรื่องครอบครัวหรือศาสนา แต่เขาเลือกที่จะพูดสิ่งที่ทำให้เขาเป็นอย่างทุกวันนี้ สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น นั่นคือ การเรียนรู้ที่จะทำตามความฝันในวัยเด็กให้เป็นจริง และการใช้ชีวิตให้มีชีวิต
เป็นเลกเชอร์ที่สร้างแรงบันดาลใจและสะเทือนใจไม่น้อย เพราะในปี 2008 เพาช์ก็เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 47 ปีเท่านั้น
ประเด็นหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ที่ซานเซซได้เรียนรู้คืออย่ากลัวที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ เขาเล่าว่า
“สิบปีก่อน ภรรยาของผมแนะนำว่าให้ลองซื้อคอนโดและทำเป็นบ้านเช่าดู แต่ผมก็รู้สึกกลัวและก็อ้างนู้นอ้างนี่ไปเรื่อย และสุดท้ายก็กลับมาเสียใจที่ไม่ได้ไล่ตามโอกาสตรงนั้น แต่พอมาในปี 2019 เราซื้อสินทรัพย์อสังหาฯเพื่อการลงทุนครั้งและภายในอีกปีครึ่งก็ซื้ออีกสองแห่ง ตอนนี้เรามีสี่ที่แล้ว”
การลงมือทำคือการเอาชนะความกลัวที่จะรู้สึกผิดหวัง เราไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นจะออกมายังไง บางครั้งอาจจะไม่ได้ตามเป้าหมาย แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าล้มเหลว ทุกครั้งที่เราทำไม่ได้ตามเป้าก็ถือเป็นประสบการณ์ เพื่อจะทำให้เราไปสู่ชีวิตที่ร่ำรวยและมีความสุขมากกว่าในอนาคต
#aomMONEY #แนะนำหนังสือ #เสริมความมั่งคั่ง
โฆษณา