7 ก.ย. เวลา 11:55 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] Short n’ Sweet - Sabrina Carpenter >>> สั้นๆหวานๆ

-ปีนี้ปีของเธออย่างแท้จริง สำหรับนักร้องสาวตัวเล็กปุ๊กปิ๊กที่อยู่วงการมาแล้ว 10 ปี แต่เพิ่งโด่งดังในวัย 25 Sabrina Carpenter ที่ได้เพลงกาแฟช็อต Espresso มาเป็นเพลงเปลี่ยนชีวิตเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา นอกจากชื่อเพลง relate กับหนุ่มสาววัยทำงานอย่างสลักสำคัญแล้ว ยังมีคุณสมบัติเพลงฮิตแทบทุกประการ ในช่วงที่เพลงนี้ปล่อยมารอบแรกๆ ผมฟังบ่อยพอสมควร
-ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่เคยแม้กระทั่งฟังผลงานเก่าของเธอเลย แต่ทีมโปรโมทเค้าทำเก๋จริงๆ สาเหตุที่ผมจิ้มฟังเพลงนี้เพื่อดูซิว่า era ใหม่ของเธอจะเป็นเช่นไรก็เพราะป้าย Billboard โปรโมทเพลงนี้ที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณริมถนนทางเข้างาน Coachella เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งให้ฟีลเรโทร 80’s ชวนฉงนสนเท่ห์ดีครับ (จะบอกว่า อีผู้เขียนเป็นทาสการตลาดเลยก็ได้) โปรโมทดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ
-เพลง Espresso ก็มีท่อน earworm อันแสนคล้องจอง เลือกเวลาปล่อยได้ถูกฤดูกาล และการชูคาแรคเตอร์สาวตัวเล็กเซ็กซี่ซุกซน แทบจะไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธที่จะฟังทั้งเพลงและชมเอ็มวีได้ไงล่ะครับ
-การต่อด้วยซิงเกิ้ล Please Please Please ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความไม่ธรรมดาต่อเนื่อง ตีมเรโทรยุค 80’s ชัดเจน เพิ่มเติมคือการร้องเอื้อนเอ่ยติดลูกคอคันทรี่ชวนให้พิสมัยดี ชวนระลึกถึงป้า Dolly Palton สมัยยังสาว นี่ก็คงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ศิลปินยุคนี้จำเป็นอย่างยิ่งยวดในการปั้นคาแรคเตอร์ให้ชัดเจน มันไม่ใช่แค่โฟกัสที่เนื้องานอย่างเดียว
-ในฐานะที่ผมได้ทำการบ้านด้วยการฟังผลงานก่อนหน้านั้นอย่าง emails i can’t send แค่ผลงานเดียวเท่านั้น ผมรู้สึกเฉยๆกับ emails เหมือนคาแรคเตอร์ยังไม่ชัดด้วย แต่ก็เข้าใจในความพยายามในการเค้นสกิล storytelling แต่การเป็นศิลปินในโลกเพลงป็อปที่ยังไม่มีภาษี hitmaker ยังถือว่าไวเกินไปที่จะใส่ความ personal ลงบนบทเพลง การอาศัยพลัง word of mount จึงยากลำบากในการจูงใจให้คนไปฟังเรื่องส่วนตัวของคนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นใครได้มากพอ
-Short n’ Sweet เริ่มบิ้วด์คาแรคเตอร์ของซาบรีน่าได้แหล่มชัดแล้ว และมีแนวคิดแบบ content creator ยอดซับหลายแสนหรือหลายล้านที่รู้จักวิธี represent ยังไงให้สามารถฮุกคนฟังให้ปรับตัวสู่ era ใหม่โดยเร็วที่สุด โดยทั้งสองซิงเกิ้ลทำหน้าที่เป็น clickbait ในการเรียกร้องความสนใจต่ออัลบั้มเต็มได้เป็นอย่างดี รวมๆแล้วนี่คืออัลบั้มที่เกิดมาเป็น commercial pop เลยครับ
-ไล่ตั้งแต่ชื่ออัลบั้มที่บ่งบอกถึง vibe ง่ายๆไม่ซับซ้อน ไม่มีศัพท์เฉพาะ เป็นอันเข้าใจโดยอัตโนมัติว่า บทเพลงโดยรวมจะไปในทิศทางไหน รวบรัดตรงปกสอดรับคนฟังยุคดิจิตอลที่ชอบฟังเพลงสั้นลง เฉลี่ย 2-3 นาทีเท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด Short n’ Sweet ไม่ได้บ่งบอกนิยามอัลบั้มเพียงอย่างเดียว แต่มีความหมายในเชิงลึกถึงความสัมพันธ์ที่ช่างหวานแหววแต่ก็ผ่านไปอย่างแสนสั้นและฉาบฉวยเสียจนบางทีก็น่าอาย บางทีก็น่าขำไปกับความรักสุดเด็กน้อยก็เป็นได้
-ถ้าไม่นับสองซิงเกิ้ลนำร่อง แค่แทร็คเปิดอัลบั้ม Taste ก็เป็นความเข้าทีทั้งนัยยะแห่งการให้คนฟังมาลิ้มลองรสป๊อปที่จะได้ฟัง และนัยยะความแสบที่อยากให้นังแฟนคนใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่อิฉันได้รับรสตอนสัมผัสปากมัน ถึงเนื้อเพลงจะไปทางนางอิจฉา แต่ไม่ได้นำเสนอในเชิงตัดพ้อเวียนเหวี่ยงเล่นใหญ่เล่นโต แลดูมูฟออนเชิงหัวเราะเยาะใส่คู่กรณีเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมู้ดส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้ก็จะออกแนวซุกซนกวนตีน ทรงไม่หนักรสดราม่าประมาณนี้
-ด้วยความนังตัวแสบที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความ explicit ก็ไม่จำเป็นต้องกั๊กอีกต่อไป แต่ไอ้ความหยาบคายที่เธอใส่มาก็ไม่ได้มาแบบพร่ำเพรื่อ เป็นความแดกดันที่ลงล็อคอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะ Please Please Please ที่มีท่อน I beg you, don't embarrass me, motherfucker ซึ่งเพลงนี้ซาบรีน่าก็แต่งให้แฟนคนปัจจุบัน Barry Keoghan ในเชิงมัดมือสัญญาใจ อย่าทำให้เธอต้องเสียหน้า เมคอัพต้องเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาเชียวล่ะ
-ในเพลงถัดมา Good Graces ก็ติดความปั่นด้วยท่อน I won't give a fuck about you วกวนเป็นเมโลดี้ในท่อน Outro ซึ่งคอนเทนท์แห่งสัญญาใจก็ต่อเนื่องจาก 3 Please เลย ถ้าเป็นเด็กดี ฉันก็จะดีกับคุณมาก แต่ถ้าทำตัวเลวเมื่อไหร่ ฉันก็พร้อมจะเกลียดและไม่แยแสได้ทันที
-ความสนุกไม่ได้มีแค่ 3 ซิงเกิ้ลแรกที่ฮิตติดลมบนไปแล้ว ยังมีเพลงที่มีแนวโน้มฮิตติดลมบนได้สบาย เฉกเช่น Bed Chem (เบด-เค็ม 😂) เรโทรอาร์แอนด์บีสุดจั๊กจี้ไปกับการอุ่นเตียง มีแร็ปอีกด้วย ยั่วเยสุดในอัลบั้มนี้ โดนเส้นตั้งแต่แรกฟัง เท่าที่เห็นในโซเชี่ยล ณ ตอนนี้ก็มีเหล่าคนดังและอินฟลูเริ่มเอาเพลงนี้ไปลงสตอรี่เยอะพอสมควร ซึ่งดันลิ้งก์กับเพลง Espresso ที่กลายเป็น anthem ปลุกความ horny ไปแล้ว
-Juno ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่น่าตัดเป็นซิงเกิ้ลเช่นกัน ท่วงทำนอง upbeat ที่ติดรส Teen Pop สดใส เข้าสูตรเพลงฮิตสายชาร์ท คลั่งรักในแบบที่ยอมเป็นแม่คนได้เลย ซึ่งเพลงนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังวัยรุ่นสุดโด่งดังในชื่อเดียวกัน “โจ๋ป่องใจเกินร้อย” พอถ่ายทอดออกมาผ่านมุมมองของสาววัย 25 ปี มันก็เปี่ยมล้นความหวังมากเป็นพิเศษ ชัดเจนในสเป็คคู่ครอง
-ด้วยความคลั่งรักนี้เอง เราเลยได้เห็นเพลงที่หยอกล้อความเป็นสาวน้อยที่กลัวว่าจะขึ้นคานอย่าง Slim Pickins (สำนวนที่แปลว่า ตัวเลือกดีๆมีน้อย ไอ้ที่มีน้อยก็ไม่ได้ดีเลิศมาก) ขับเคลื่อนด้วย Acoustic Folk ที่แลดูเป็นกันเอง ราวกับว่า เรากำลังฟังเพื่อนผู้หญิงบ่นเรื่องหาแฟนไม่ได้ซักทีหรือไม่ก็เรื่องจุกจิกของแฟนนางให้พวกเราฟังเป็นประจำเนี่ยแหละครับ
-ถึงแม้ว่าชื่ออัลบั้มจะบ่งบอกถึงความ Sweet ที่ต้องประสบพบเจอในอัลบั้มนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไปทางหวานเลี่ยนในมิติคลั่งรักชวนมองบนเพียงแค่มิติเดียวเสมอไป เธอก็ยังมีความทีจริงให้ได้มีฉุกคิดเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์บ้าง เลยเป็นที่มาแห่งความ Short ในความสัมพันธ์นั่นเอง
-Sharpest Tool (มาจากสำนวน Not sharpest tool in the shed แปลว่า ไม่ได้ฉลาดหลักแหลม) เป็นการประสบพบเจอกับผู้ชายที่ไม่ได้มอบความชัดเจนใดๆให้เธอเลย การกระทำชอบปิดบังต่างๆก็ชี้ให้เห็นถึงความเป็นผู้ชายห่วยๆที่ไม่ได้ฉลาดอย่างที่คิด Coincidence ที่เซนส์เธอดีพอที่จะจับไต๋ได้ว่า เขายังคงคิดถึงคนเก่าอยู่ ต่อให้เธอจะมีกิจกรรมอะไรร่วมกันก็ตาม เขาก็บังเอิญระลึกถึงแฟนเก่าอยู่ตลอด นำเสนอด้วยอคลูสติคป็อปที่มู้ดไม่หนักไปทางประชดประชันชวนมองบน
-Dumb and Poetic เป็นอคลูสติคที่ให้มู้ดค่อนข้าง tense กว่า ซึ่งหลายคนก็ตีความว่าเธอต้องการสื่อถึงนักร้องหนุ่มอักษรย่อ S ที่เธอเคยออกเดทในช่วงสั้นๆ มีหลายอย่างที่ชวนให้อดโยงไม่ได้ ทั้งการเป็นหนุ่มเจ้าบทเจ้ากลอนที่ชอบอ่านหนังสือฮาวทูเป็นชีวิตจิตใจ รวมถึงการได้ลองเห็ดเมาอันสอดคล้องกับที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ ซึ่งนั่นก็ไม่ทำให้เขาดูดีขึ้นในสายตาซาบรีน่าแต่อย่างใด
-Lie to Girls ที่ได้รับอิทธิพล Taylor Swift ยุค 20s เต็มๆ พอเห็นเครดิทของโปรดิวซ์เซอร์เท่านั้นแหละถึงบางอ้อเลยครับ ไม่ใช่ใครที่ไหน Jack Antonoff นั่นเอง (เกือบลืมบอกไปว่า ตา Jack แกได้สัดส่วนไปเกือบครึ่งอัลบั้มนี้) ลูกเล่นคอรัสแอมเบี้ยนในท่อน Outro ลูกเล่นที่โฉบไปโฉบมา กั๊กความโฉ่งฉ่าง การออกแบบการร้องให้มี spoken word ลงไปในเนื้อเพลงโดยไม่สนคำคล้องจอง นั่นแหละคือลายเซ็นต์เขาเลยครับ
ถึงแม้ว่า Lie to Girls จะมีรส emotional แต่เธอเลือกที่จะทำตัวเป็นกลางในระดับนึง ความสัมพันธ์ของคนหัดโกหก ไม่ว่ายังไงก็ toxic อยู่ดี ผู้ชายที่ชอบหลอกผู้หญิงไปทั่ว คำแก้ตัวต่างๆ คำสัญญาที่จะทำตัวให้ดีขึ้น มันแทบจะเชื่อถือไม่ได้เลย ในขณะที่ผู้หญิงเองก็พร้อมที่จะหลอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร” เพื่อที่จะได้ยื้อความสัมพันธ์ให้ไปต่อ ยอมโกหกก็เพราะรักนั่นเอง
-ปิดท้ายอัลบั้มด้วยรสดราม่าตัดพ้อผู้ชายที่ดันมูฟออนได้ไวกว่าในเพลง Don’t Smile ในขณะที่ฉันยังทำใจไม่ได้กับความสัมพันธ์ที่จบลงอย่างรวดเร็ว เธอดันมีความสุขกับคนรักใหม่อย่างรวดเร็วเหลือเกิน ซึ่งนับว่าไม่แฟร์เลยกับการที่เธอลืมได้ไวขนาดนี้ แทนที่จะทุกข์ใจเหมือนที่ฉันกำลังรู้สึก
เป็น dream pop สุดขมุกขมัวที่ clear cut ในการจบอัลบั้มด้วยความรู้สึกที่ไม่ขอติดเล่น แต่ทิ้งความเนื้อน้อยต่ำใจที่ยังคงฝังใจอยู่นั่นเอง ซาบรีน่าได้เคลมไว้ว่า เธอแต่งเพลงนี้จบภายใน 30 นาที โดยมีที่มาจากสตอรี่ของเพื่อนเธอที่เพิ่งอกหักมา
-Short n’ Sweet เป็นการเกิดใหม่ที่สามารถพิสูจน์ตัวเองในแง่หลุดพ้น one hit wonder ไม่ต้องพึ่งมนต์ viral ด้วยชุดเพลงที่เตรียมพร้อมสำหรับการเอ็นเตอร์เทนคนฟังให้ต้องมนต์ไปกับ charisma ของป็อปสตาร์ตัวสั้นที่อาจทำให้เราพร้อมยอมใจ ยกให้เธอเป็น next sweetheart ก็เป็นได้ นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกเอ็นจอยกับอัลบั้มนี้ที่สามารถซื้อใจผมได้ ด้วยรสชาติที่หวานแบบพอดี ถ้าเป็นกาแฟใส่นมก็คงแซมขมแซมมัน มีท็อปปิ้งเคี้ยวสนุกกันไป ส่วนเมล็ดกาแฟเนี่ยคงใช้ arabica ทั่วไป ไม่ได้ผ่านกระบวนการคั่วพิเศษขนาดนั้น
-เอาเป็นว่าเริ่มต้นใหม่ด้วยนิมิตรหมายที่ดีของนักร้องสาวอดีตดาวดิสนี่ย์ที่ในที่สุดก็มีวันนี้เสียที วันที่เธอจะได้ลิ้มรสความหอมหวานที่สุดครั้งนึงในสายอาชีพ ตราบใดที่ความสำเร็จยังไม่ได้รับการ repeat เส้นทางแห่งการเป็น hitmaker ของเธอถูกยืดระยะทางที่ยาวกว่านี้หรือไม่? ซึ่งผมก็ยังไม่แน่ใจเสียทีเดียว
ปล่อยให้เธอเอ็นจอยกับห้วงเวลานี้ก่อนครับ
Top Tracks: Please Please Please, Coincidence, Bed Chem, Espresso, Slim Pickins, Juno, Lie To Girls, Don’t Smile
Give 7.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา