10 ก.ย. 2024 เวลา 01:46 • หนังสือ

สภาวะนิพพาน

คือสภาวะที่เป็นกลาง ว่างจากกิเลส
ตัณหา เวทนา ไม่ว่าด้านบวกหรือลบ
เป็นธรรมชาติที่ไม่มีการดับอีกต่อไป
เพราะไม่มีสิ่งใดเกิดมาให้ดับ
ปราศจากอารมณ์
ที่จะคอยมาทำให้กระวนกระวายใจ
สภาวะนิพพานไม่ใช่อาการทางจิต
ความสุขในระดับนี้
ต่างจากความสุขที่ได้จากร่างกาย
จิตใจหรือสมอง ซึ่งเคยได้รับสัมผัสมา
เพราะถ้าเกิดจากจิต
ความเป็นตัวกู ของกู
ที่เกิดจากสัญญาขันธ์ยังอยู่
จึงไม่ใช่นิพพาน
และถ้าเกิดจากสมอง
ก็จะเป็นเพียงความสุขจากการนึกคิด
หรือจากฮอร์โมน
ในการปฏิบัติธรรม
การได้ฌานหรือญาณ
คือการสามารถแยกจิตออกจากสมอง
พ้นจากอิทธิพลของสมอง
แต่ยังอยู่ภายใต้อำนาจของจิต
เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้จะรู้ว่า
จิตกับสมองเป็นคนละส่วนกัน
ทำให้เข้าใจเรื่องอภิญญา การยืดหดของเวลา
การตายแล้วเกิดอย่างปราศจากข้อสงสัย
นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
สำหรับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง
แต่ไม่สามารถพัฒนาสติไปจนถึงระดับที่รู้ว่า
จิตกับสมองเป็นคนละส่วนกัน
เพราะถ้าปฏิบัติธรรมแล้วบรรลุญาณหรือฌาน
เพียงระดับล่างๆก็หยั่งรู้ได้แล้ว
เพียงแต่เป็นการรู้ด้วยตัวเอง
ไม่สามารถไปอธิบายให้คนอื่นๆเข้าใจ
เหมือนกับวิชาคณิตศาสตร์ได้
เช่น ญาณระลึกชาติ(ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)
ในทางพระพุทธศาสนาจัดเป็นโลกียญาณ
หรือฌานระดับล่างเท่านั้น
แต่การรู้เท่านี้ก็มหัศจรรย์เหลือเกิน
คุ้มค่าสำหรับการได้เกิดมา
การไม่รู้..จะทำให้ใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมาย
เหมือนกับเรือที่ขาดหางเสือ
การว่ายวนอยู่ในสังสารวัฏโดยขาดหางเสือ
เป็นเรื่องอันตรายยิ่ง
เพราะส่วนใหญ่จะตกลง
ไปสู่ชั้นเดรัจฉาน เปรตหรืออสูรกาย
เมื่อบรรลุญาณระดับสูงขึ้นอีก
จะรู้ว่าสติก็แยกออกจากจิตได้
ขณะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
จะมีจังหวะที่สติแยกออกจากจิตเป็นช่วงๆ
ซึ่งขณะนั้น จะมองเห็นเวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่อยู่ในจิตอย่างชัดเจน
สภาวะเช่นนี้ เรียกว่านิพพานชั่วขณะ(ไม่ถาวร)
เพราะในไม่ข้า สติจะหวนกลับ
ไปเป็นองค์ประกอบของจิตเช่นเดิม
แต่ก็สามารถทำให้เข้าใจเรื่งภพภูมิ
เรื่องกฏแห่งกรรมอย่างชัดเจน
การจะเข้าใจเรื่องตายแล้วเกิด
ต้องแยกจิตออกจากสมองให้ได้
แต่กาจะเข้าใจเรื่องภพภูมิทั้ง ๓๑ ภพ
ต้องแยกสติออกจากจิตอีกชั้นหนึ่ง
เรื่องภพภูมิเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
เพียงแต่..พระพุทธองค์ทรงมาพบ
แล้วประกาศให้ทุกคนรับรู้
เมื่อบรรลุญาณระดับนี้จะเห็นว่า
จักรวาลทางกายภาพที่นักวิทยาศาสตร์
กำลังศึกษาอยู่เป็นเรื่องเล็กๆในมิตินี้เท่านั้น
แต่ภพภูมิเป็นเรื่องใหญ่
ที่มีอะไรให้น่าค้นคว้ามากกว่า
อย่างชนิดที่เทียบกันไม่ได้
ดังนั้น..
พระพุทธองค์จึงทรงเผยแผ่ธรรม
ทางจิตนิยาม กรรมนิยามและธรรมนิยาม
มากกว่าอุตุนิยามกับพืชนิยาม
สภาวะนิพพาน..
คือสภาวะที่สามารถแยกสติออกจากดวงจิต
ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
จึงรู้เท่าทันอาการละเอียดทางจิตทุกชนิด
และอาการหยาบๆทางสมองทั้งหมด
สภาวะนี้ต่างจากการนอนหลับหรือสลบ
เพราะขณะนั้นขาดสติซึ่งเป็นตัวรู้
และขณะหลับจิตกับสมองก็ยังคงทำงานร่วมกันอยู่
ไม่ได้แยกออกจากกัน
หรือแม้จะสามารถปฏิบัติธรรมจนบรรลุสู่ชั้นสูงสุด
ของอรูปพรหมก็ยังไม่ใช่นิพพาน
เพราะถึงมีสติแต่ยังไม่สามารถแยกออกจากดวงจิต
สภาวะนิพพานจะไม่มีจิตอีกต่อไป
สรุปง่ายๆก็คือ
ร่างกายเป็นตัวตนของเราในชาตินี้
จิตเป็นตัวตนของเราในทุกๆชาติ
และเมื่อเกิดปัญญาสูงสุดจะรู้ว่า
ทั้งร่างกายและจิตไม่ใช่ตัวเราเลย
เมื่อไม่ยึดติดกับจิต
จึงไม่มีการเกิดอีกต่อไป
แต่ตัวรู้ที่เรียกว่าสติยังอยู่
เหมือนการหลุดจากคุก ๓๑ ชั้น ๓๑ ภพ
ที่มีเวทนา กิเลส ตัณหา อุปาทาน
สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯลฯ เป็นกลุ่มผู้คุม
การบรรลุนิพพาน...
สามารถทำได้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ขณะนั้น สติจะแยกออกไปจากจิตและสมอง
แต่ยังมีรูปขันธ์อยู่ ความเสิ่อมทางรูป
ไม่สามารถไปฝืนได้
แต่เมื่อนิพพานแล้ว...
แม้ภายหลังสมองจะเป็นอัลไซเมอร์
ก็ไม่กระทบกระเทือนกับการบรรลุนั้น
นิพพาน...
เป็นความจริงขั้นปรมัตถสัจจะ
ที่ตรงข้ามกับสมมติสัจจะในโลก
การอธิบายโดยใช้ภาษาในทางโลก
จึงไม่สามารถอธิบายได้
นิพพานไม่ใช่เรื่องของความเข้าใจ
แต่เป็นเรื่องของความเข้าถึง
ในพาหิยสูตร ได้อธิบายไว้ว่า
"ดิน น้ำ ไฟและลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด
ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง
พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ
พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี"
การเข้าถึงสภาวะนิพพาน
ต้องใช้ปัญญาระดับสูงสุด
และเป็นปัญญาที่ได้จากการเจริญสติเท่านั้น
ไม่ใช่จากสมอง
เพราะสมองก็เป็นรูปขันธ์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา
ทำงานอยู่ภายใต้เงื่อนไขของแสงและเวลา
การจะอยู่เหนือธรนมชาติได้
ต้องอยู่เหนืออิทธิพลของสมองด้วย
และแม้สติในสภาวะนิพพาน
จะสามารถสร้างจิตทิพย์ กายทิพย์ขึ้นมาได้
จิตและกายนั้น ก็จะไม่ตกอยู่
ภายใต้อิทธิพลของแสงและเวลา
ดังนั้น...
พระอรหันตเจ้าที่เข้าสู่พระนิพพาน
ก็ยังสามารถคอยดูแล ช่วยเหลือ
ผู้ปฏิบัติธรรมได้อยู่ตลอดเวลาจากอีกมิติ
แต่จะไม่มีการลงมาเกิดอีกแล้ว
เพราะทรงอยู่เหนือสังสารวัฏทั้งหมด
การช่วยเหลือจากมิติแห่งนิพพาน
จะต่างจากการช่วยเหลือทางโลกคือ
จะไม่ช่วยให้สมหวังในรัก โลภ โกรธ หลง
ลาภ ยศ สรรเสิญ
เพราะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดทุกข์
ตามมาไม่สิ้นสุด
ความปรารถนาสูงสุดของพระอรหันตเจ้า
คือ การให้สิ่งมีชีวิตในมิติที่ ๓
เดินตามทางสายเอกแห่งอริยมรรค
และเข้าสู่นิพพานได้เหมือนกัน
เพราะจะพบกับความสุขที่แท้จริง
การเจริญสติ...
จะทำให้สามารถเข้าใจจักรวาลได้
ทั้งรูปและนาม และลึกซึ้งยิ่งกว่า
การนั่งยานอวกาศออกไปสำรวจเสียอีก
จะเข้าใจมิติทั้งหมด
ความไม่มีอยู่จริงของกาลเวลาและระยะทาง
ความลับของจักรวาล ซ่อนอยู่ในจิตของเรานี่เอง
นอกจากนั้นยังเข้าใจเรื่องภพภูมิต่างๆ
ที่ทับซ้อนกันอยู่ การเวียนว่ายตายเกิด
ซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่มีวันเข้าใจ
แต่เป็นความจริงอีกระดับของจักรวาล
นิพพาน หน้า ๑๘๕-๑๘๙
หนังสือความลับของจักรวาลทางแห่งนิพพาน
ทันตแพทย์สม สุจิรา
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
โฆษณา