11 ก.ย. เวลา 02:38 • หนังสือ

นอกเหตุเหนือผล : เรื่องการทำจิตให้สงบ

พระอาจารย์ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง มีคำสอน เรื่อง "การทำจิตให้สงบ" ในหนังสือ "นอกเหตุเหนือผล" พ.ศ.2526 ความตอนหนึ่งว่า...
การทำจิตให้สงบ คือการวางให้พอดี ตั้งใจเกินไปมากมันก็เลยไป ปล่อยเกินไป มันก็ไม่ถึง เพราะขาดความพอดี
ธรรมดาจิตเป็นของไม่อยู่นิ่ง เป็นของมีกิริยาไหวตัวอยู่เรื่อย ฉะนั้นจิตใจของเราจึงไม่มีกำลัง การทำจิตใจของเราให้มีกำลัง กับการทำกายของเราให้มีกำลัง มันต่างกัน การทำกายให้มีกำลังคือการออกกำลังกาย การทำจิตใจให้มีกำลัง ก็คือทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่นคิดนี่ไปต่างๆไม่อยู่ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเรานั้น ไม่เคยได้สงบ ไม่เคยมีกำลัง มันจึงไม่มีกำลังทางด้านสมาธิ
ถ้าเราจะทำสมาธิ ก็ตั้งใจ ให้เอาความรู้สึก กำหนดอยู่กับลมหายใจ ถ้าหากว่าเราหายใจสั้นเกินไป หรือยาวเกินไป ก็ไม่พอดี ไม่ได้สัดได้ส่วนกัน จึงไม่เกิดความสงบ
เราจะต้องหายใจเข้าออกเฉยๆ เอาความรู้สึกของเราไว้ปลายจมูก เหนือริมฝีปากบน ที่ลมผ่านออกผ่านเข้า เอาแต่ความรู้สึกเท่านั้นไว้ที่นั่น ไม่ต้องตามลมออกไป ไม่ต้องตามลมเข้ามา เอาความรู้สึกไว้ที่ปลายจมูก ให้รู้จักลมที่ผ่านออก ผ่านเข้า ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพียงแต่ให้มีความรู้สึกเท่านั้น ให้มีความรู้สึกติดต่อกัน ลมออกก็รู้ ลมเข้าก็รู้ ให้รู้อยู่แต่ที่นั่นแหละ รู้แล้วมันจะเป็นอะไร ก็ไม่ต้องคิด เอาเพียงแค่รู้เท่านั้น
หน้าที่การงานของเราก็มีแค่นั้น ไม่ได้มีมาก กำหนดลมเข้าออกอยู่อย่างนั้นแหละ ต่อไปจิตก็สงบ ลมก็จะละเอียด กายก็จะเบา จิตก็จะสงบ
นี่คือการทำสมาธิ ไม่ต้องทำอะไรมาก การทำสมาธินั้น จิตจะไปไหนก็ช่างมัน ให้เรารู้ทันเอาไว้ ให้เรารู้จักมัน มันก็มีทั้งอารมณ์ มีทั้งความสงบคลุกคลีกันไป แต่ข้อสำคัญนั้นต้องพยายามรู้ให้ทันอยู่เสมอ แล้วก็พิจารณาให้ลึกลงไปอีก ให้เห็นว่ามีทั้งสมาธิและมีทั้งปัญญาร่วมอยู่ในนั้น
สิ่งที่รักษาสมาธิไว้ได้คือสติ สตินี้เป็นสภาวะธรรมอันหนึ่ง ซึ่งให้ธรรมอื่นๆทั้งหลายเกิดขึ้นโดยพร้อมเพรียง สตินี้ก็คือชีวิต ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เหมือนตาย ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เป็นคนประมาท
สติเป็นเหตุให้สัมปชัญญะเกิดขึ้นมาได้ เป็นเหตุให้ปัญญาเกิดขึ้นมาได้ แม้เมื่อเราออกจากสมาธิไปแล้ว สติก็ยังเป็นสิ่งประจำใจอยู่เสมอ ทำอะไรก็ระมัดระวัง เมื่อระมัดระวังทางจิตใจความอายมันก็เกิดขึ้นมา การพูดการกระทำอันใด ที่ไม่ถูกต้องเราก็อายขึ้น อายขึ้น
เมื่อความอายกำลังกล้าขึ้นมา ความสังวรก็มากขึ้นด้วย เมื่อความสังวรมากขึ้น ความประมาทก็ไม่มี
ท่านว่า เจริญสติ ทำให้มาก เจริญให้มาก อันนี้เป็นธรรมคุ้มครองรักษากิจการที่ทำอยู่หรือทำมาแล้ว เป็นธรรมะที่มีคุณประโยชน์มาก ให้เรารู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ เมื่อความเห็นผิดชอบมันมีอยู่ เกิดขึ้นทุกเมื่อ ความละอายก็เกิดขึ้น จะไม่ทำสิ่งที่ผิดหรือสิ่งที่ไม่ดี เรียกว่าปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
เมื่อรวมยอดเข้ามา มันจะมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา คือการสังวรสำรวมที่มีอยู่ในกิจการของตนนั้น ก็เรียกว่าศีลสังวร ความตั้งใจมั่นอยู่ในความสังวรสำรวมในข้อวัตรของเรานั้น ก็เรียกว่ามันเป็นสมาธิ ความรอบรู้ทั้งหลายในกิจการที่เรามีอยู่นั้น ก็เรียกว่าปัญญา พูดง่ายๆก็คือ จะมีศีล จะมีสมาธิ จะมีปัญญา ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี เมื่อมันกล้าขึ้นมา มันก็คือมรรค นี่แหละคือหนทาง ทางอื่นไม่มี
จากหนังสือ "นอกเหตุเหนือผล" พระอาจารย์ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง พิมพ์ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2526
โฆษณา