14 ก.ย. เวลา 02:08 • ท่องเที่ยว

ผีที่อังกฤษ ตอนที่ 9 - "ผี" ใน "ผับ" ที่เฮิร์ตฟอร์ด

ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนทิ้งท้ายเอาไว้ว่า จะเล่าถึงสถานที่ที่เจ้าของอาคารเองออกมายอมรับเลยว่า ตึกของฉันนี่แหละ เฮี้ยนที่สุดในเมืองเฮิร์ตฟอร์ด (Hertford)
เอ ใครกันน่ะ ที่ออกมาป่าวประกาศแบบนี้ คนที่ว่าคือ แมคมัลเลน (McMullen)
แล้วแมคมัลเลนเป็นใครอีกล่ะ
แมคมัลเลนเป็นบริษัทใหญ่รายหนึ่งของอังกฤษค่ะ เป็นเจ้าของร้านอาหาร และผับมากกว่า ๑๓๐ แห่ง และแมคมัลเลนเองนั่นแหละ ที่ออกถ้อยแถลงยอมรับว่า ผับหลายแห่งในเครือ ซึ่งมักจะซื้ออาคารเก่าสวยๆ มาปรับปรุงเป็นสถานบริการนั้น มีหลายที่เหลือเกินที่ "หลอน" แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ไม่มีที่ไหนที่เฮี้ยนเท่าเดอะ ด็อก แอนด์ วิธเซิล (The Dog & Whistle) ที่ถนนฟอร์ (Fore St) ในเมืองเฮิร์ตฟอร์ด !!
เจ้าของออกมาการันตีเองแบบนี้ ก็ต้องไปดูกันหน่อย
เดอะ ด็อก แอนด์ วิธเซิล
อันว่าเดอะ ด็อก แอนด์ วิธเซิลนี้ เป็นผับในอาคารใหญ่สูง 3 ชั้น ด้านบนทาสีขาวสะอาดตา ส่วนด้านล่างทาสีออกน้ำเงินเทา โดยด้านล่างเปิดเป็นผับ ส่วนด้านบนเคยเป็นห้องพักส่วนตัวของคนหลายคนมาก่อน แต่ตอนนี้เปิดเป็นโรงแรม
ตรงนี้แหละ ที่ว่าเฮี้ยนสุดๆ เพราะคนที่มาพักหลายคนบ่นว่า พักแล้วแทบหัวโกร๋น ตั้งแต่เข้าไปก็รู้สึกไม่ค่อยดี จู่ๆ ก็หนาวยะเยือกอย่างไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะคนที่ได้พัก ณ ห้องหมายเลข 1 ที่มักจะให้การกันว่า ได้พบเงาดำมาปรากฎในห้องบ่อยๆ และบางคนตื่นขึ้นมาเจอว่า มี "รสเลือด" ฝาดเฝื่อนอยู่ในปาก นี่เองถึงบอกว่า ที่นี่ เฮี้ยนที่สุด เพราะไม่มีสิ่งลี้ลับที่ไหนจะทำถึงขั้นที่ว่า คนตื่นขึ้นมาแล้วลิ้มรสโลหิตอยู่ในปากได้เหมือนที่นี่
ดีอยู่อย่างคือ ไม่ค่อยจะมีมาแบบเป็นตัวเป็นตนให้เห็น แต่การที่ตื่นมาเจอ "รสเลือด" ค้างอยู่ในปาก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตอนที่นอนหลับอยู่นั้น มีใครมาเอาร่างไปทำอะไรหรือเปล่า บรื๋อ...
สำหรับท่านที่อยากค้นข้อมูลเพิ่มเติมของเดอะ ด็อก แอนด์ วิธเซิล หากไปเจอชื่อโรงเตี๊ยมเดอะ แรม (The Ram Inn) ก็ไม่ต้องแปลกใจไป เพราะเป็นที่เดียวกัน กล่าวคือ ก่อนที่เครือแมคมัลเลนจะมาซื้ออาคารนี้ทำผับ อาคารเคยเป็นโรงแรมชื่อเดอะ แรมมาก่อน โดยเป็นการตั้งชื่อตามคำว่า Ram ที่หมายถึงแกะตัวผู้ที่ยังไม่ได้ทำหมัน เนื่องจากด้านหลังอาคารเป็นตลาดขายปศุสัตว์ ก่อนที่จะเริ่มเปิดเป็นที่ขายแอลกอฮอลล์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1621
ส่วนที่ว่า มีเรื่องผีมาเกี่ยวจนถึงขั้นที่บริษัทแมคมัลเลนยอมรับว่า เป็นผับที่เฮี้ยนที่สุดในเครือตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น แมคมัลเลนเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก รู้แต่ว่า จนถึงทุกวันนี้ คนทำงานในผับ และโรงแรมเองก็ทำไปเสียวสันหลังไป ก็ไม่รู้ว่า เครือแมคมัลเลนให้เงินค่าจ้างพิเศษเป็นค่าตกใจกับพนักงานสาขานี้บ้างหรือเปล่านะคะ
นอกจากเดอะ ด็อก แอนด์ วิธเซิลแล้ว บริษัทแมคมัลเลนยังออกมายอมรับอีกว่า ผับในเครืออีกหลายแห่งที่ “ผีดุ” ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ไกลจากที่เดิมเท่าไหร่ คือยังอยู่ในเมืองเฮิร์ตฟอร์ดนั่นแหละ โดยผับของแมคคัลเลนอีกแห่งหนึ่งในเมืองนี้ที่นักล่าผีชอบมากันก็คือ เดอะ ซอลส์เบอรี อาร์มส (The Salisbury Arms)
เดอะ ซอลส์เบอรี อาร์ม
ซึ่งเป็นทั้งผับ และโรงแรม ซึ่งก็อยู่บนถนนฟอร์ เหมือนกันกับ เดอะ ด็อก แอนด์ วิธเซิล ทำให้ง่ายสำหรับเหล่านักล่าผี เพราะผับทั้งสองแห่งนี้ ใช้เวลาเดินหากันเพียง 2 นาทีก็ถึงแล้ว ผู้เขียนก็เลยถือโอกาสเดินไปดูมาทั้ง 2 แห่ง
อันว่าเดอะ ซอลส์เบอรี อาร์มสนั้น เป็นอาคารที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของเมืองค่ะ ตัวตึกใหญ่สีขาวสูง 3 ชั้นนี้เคยเป็นแมนชั่นที่มีอายุย้อนไปถึงคริสตศตวรรษที่ 18 แต่ก่อนหน้านั้นเคยเป็นหนึ่งในผับที่เก่าแก่ที่สุดในเขตนี้ โดยใช้ชื่อเดอะเบลล์ (The Bell) มาตั้งแต่ ค.ศ.1431 จากนั้นถึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นซอลส์เบอรีในปี ค.ศ.1830 ตอนที่มาร์ควิสแห่งซอลส์เบอรี (Marquis of Salisbury) มาซื้ออาคารไป ปัจจุบันมีห้องพัก 30 ห้อง มีบาร์ และร้านอาหารอยู่ด้านล่าง
มีเรื่องเล่าว่า ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่พวกแม่บ้านกำลังทำงานที่ทางเดินชั้น 1 ของโรงแรม ก็มองเห็นผู้ชายชุดดำ เดินมาตามทาง แล้วหายเข้าไปในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง เหล่าแม่บ้านคิดว่าเป็นแขกที่หลงทาง เลยจะเดินไปบอกทางให้ แต่เมื่อตามเข้าไปในห้อง กลับไม่พบใครเลย แถมมันเป็นห้องที่ไม่มีทางออกอื่น ทว่าชายคนนั้นกลับหายไปดื้อๆ ถ้าไม่ให้คิดว่าเป็นผี แล้วจะเป็น "ใคร" ที่ไหน
นอกจากนี้ พนักงานโรงแรมบางคนบอกว่า ณ ห้องหมายเลข 6 มีผีสิงที่อยู่มาตั้งแต่สมัยที่โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ (Oliver Cromwell) เรืองอำนาจ ในฐานะลอร์ดผู้อารักขา (Lord Protector) ของประเทศ
แล้วทำไมต้องเอ่ยถึงยุคครอมเวลล์ นั่นก็เพราะตอนที่ยังเป็นโรงแรมเดอะเบลล์นั้น ครอมเวลล์เคยผ่านทางมาเป็นแขกของโรงแรมกะเขาด้วยในปี ค.ศ.1647 และไม่รู้ว่ายังไง ยังเหลือคน เอ หรือไม่ใช่คน จากยุคของครอมเวลล์ ที่ยังอาศัยอยู่ ไม่ติดตามครอมเวลล์ที่ถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ.1658 ไปด้วย แต่ "ติด" อยู่ที่นี่ จนผ่านกาลเวลามาหลายสมัยจนปัจจุบัน
อันว่าวิญญาณจากยุคครอมเวลล์นี้ มีรายงานว่า มีคนเจอหลายคน ไม่ว่าจะในห้องหมายเลข 6 หรือบริเวณใกล้เคียง เช่น ทางเดินแถวๆ ห้องหมายเลข 6 นั่นแหละ แสดงว่า พี่แกอาจจะเคยพักในห้องนั้นมาก่อน และยังผูกพันอยู่
และเมื่อพูดถึงครอมเวลล์ เหตุผลหนึ่งที่ท่านเลือกมาพักที่นี่ อาจจะเป็นเพราะคำเล่าลือที่ว่า อาคารนี้มี "อุโมงค์" เก่าอยู่ด้านล่าง ซึ่งหากเกิดเรื่องร้าย เรื่องด่วนขึ้น ก็สามารถใช้เป็นทางหลบหนีเมื่อเกิดภัยจวนตัว ก็ไม่รู้ว่า คำเล่าลือนี้ จริงหรือเปล่า และครอมเวลล์เคยใช้อุโมงค์ที่ว่านี้หรือไม่
นอกจากวิญญาณจากยุคครอมเวลล์แล้ว ยังมีรายงานการเจอผีจากยุควิคตอเรียอีกตนหนึ่ง ซึ่งเจอกันบ่อยถึงขนาดมีการตั้งชื่อเล่นให้เลยว่า "สุภาพบุรุษวิคตอเรียน" ที่ชอบเดินเข้าไปในตู้เสื้อผ้า แล้วหายไปเฉยๆ และที่เรียกกันว่าเป็นสุภาพบุรุษ ก็น่าจะเป็นเพราะพี่แกใส่สูทดูสง่างามตามสมัยนิยมของช่วงที่น่าจะยังเคยมีชีวิต
อันว่ายุควิคตอเรียนั้น คือช่วงแห่งการครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria) ระหว่างปี ค.ศ.1837 – 1901
สรุปว่า มีผีทั้งจากยุคครอมเวลล์ และยุควิคตอเรีย ที่ต่างก็อยู่ร่วมกันในเดอะ ซอลส์เบอรี อาร์มสอย่างสงบสุข แต่ไม่รู้ว่า คนที่ได้เห็นจะสงบสุขด้วยหรือเปล่า
โธ่ ก็ใครเล่าที่อยู่ๆ อยากจะเจอผี
และเพื่อให้ได้รู้ความแตกต่างระหว่างผียุคครอมเวล์ กับผียุควิคตอเรีย ผู้เขียนเลยได้นำภาพของครอมเวลล์ กับพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย และพระสวามี คือ เจ้าชายอัลเบิร์ต (Prince Albert) มาให้เปรียบเทียบเครื่องแต่งกายระหว่างยุคด้วย เวลาเจอ "ผีฝรั่ง" จากต่างยุค จะได้แยกออกจากเสื้อผ้าที่มาจากคนละสมัย แต่ไม่เจอเลยคงจะดีกว่า และเสื้อผ้าของวิญญาณนี่แหละ ที่ทำให้คนที่เจอวิญญาณในเดอะ ซอลส์เบอรี อาร์มสามารถแยกออกได้ว่า ผีตนไหนเป็นตนไหน
สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย และเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามี
โอลิเวอร์ ครอมเวลล์
และแค่ 2 ตนยังไม่พอ ในเดอะ ซอลส์เบอรี อาร์มยังมีผีที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง คราวนี้ดูง่าย เพราะเขาแต่งชุดทหาร ทำให้รู้ว่า เคยเป็นนายทหารในช่วงสงครามกลางเมือง ที่ "ชอบ" เดินไปเดินมาตามระเบียง แต่แหม อย่างเดิมค่ะ พนักงานที่ทำงานในโรงแรมและผับแห่งนี้คงไม่ชอบ แฮ่..
ก็พี่แกเล่นมาเดินท่อมๆ ให้ทั้งพนักงานและลูกค้าได้เจอตัวกันเนืองๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากจะเจอ แล้วจะให้ชอบพี่ทหารนายนี้ได้ยังไงเล่า
แค่นี้ ดูเหมือนบริษัทแมคมัลเลนยังจะไม่พอใจ เพราะยังออกแถลงว่า ไหนๆ ถ้าใครได้มาเฮิร์ตฟอร์ดแล้ว ผับของแมคมัลเลนยังมีที่ขึ้นชื่อเรื่องวิญญาณหลอนอีกแห่ง คือ ผับไวท์ ฮาร์ท (White Hart) ณ จตุรัสซอลส์เบอรี (Salisbury Square) ซึ่งก็อยู่แยกออกมาจากถนนฟอร์ที่ตั้งของผับ 2 แห่งแรกนิดเดียว คืออยู่ตรงกลางๆ ทั้งหมดเดินถึงกันในเวลาแค่ 2-3 นาทีทั้งนั้น
ผับไวท์ ฮาร์ท
ผับไวท์ ฮาร์ทนี้ ตั้งอยู่ในอาคารที่มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปมากกว่า 2 ศตวรรษ และหากนับส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของอาคารนั้น มีอายุตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 16 เลยทีเดียว และตึกนี้ได้กลายเป็นผับตั้งแต่ปี ค.ศ.1908 ซึ่งเป็นตอนที่บริษัทแมคมัลเลนเข้ามาซื้อสถานที่
ตั้งแต่ตอนนั้นเอง ที่เริ่มพบว่า ในอาคารแห่งนี้ ม้กจะมีเรื่องแปลกๆ กล่าวคือ ในผับมักเกิดสิ่งของตกหล่นลงมาจากชั้นวางของเอง ซึ่งในโลกปัจจุบันนี้ ทางผับได้มีการติดกล้องวงจรปิด ซึ่งก็สามารถบันทึกเหตุการณ์ที่ของตกหล่นเองโดยไม่มีใครไปแตะต้องเอาไว้ได้อยู่บ่อยๆ โดยเหตุของตกมักเกิดขึ้นรอบๆ บริเวณที่เป็นบาร์ โดยไม่มีมีใครหาสาเหตุได้ว่าเกิดจากอะไร นอกจากคำตอบเดียวคือ มันมี "พลังงาน" บางอย่าง
หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ มีผีนั่นแหละ
สรุปว่า ใครมาเที่ยวเฮิร์ตฟอร์ด แล้วชอบเรื่องลึกลับ ลองไปด้อมๆ มองๆ ผับเก่าแก่ ก็ได้บรรยากาศดี
แล้วผับเมืองอื่นล่ะ มีผีหรือเปล่า
ด้วยความเป็นคนอยากรู้อยากเห็น ผ้เขียนเลยตามเรื่องเล่าหลอนๆ ไปผับที่เมืองอื่นอีก
ส่วนจะเป็นที่ไหน
อดใจรอตอนหน้านะคะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา