🤳 จำนวนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นมา เป็นผลมาจากสังคมที่เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลผู้คนต่างหันมาทำกิจกรรมบนช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ทำให้เกิดความต้องการใช้พื้นที่กักเก็บข้อมูลตามปริมาณการใช้งานที่เพิ่มสูง อีกทั้งยังมีทิศทางการพัฒนา AI ซึ่งต้องใช้คลังข้อมูลอีกเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มูลค่าทางการตลาดของ Data Center ในปี 2024 เติบโตไปถึง 105,530 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.9 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
📈 ตัวเลขที่ดึงดูดเช่นนี้ แน่นอนว่านอกจากยะโฮร์แล้ว ก็ยังมีอีกหลายพื้นที่พยายามดึงดูดนักลงทุนด้วยเช่นกัน แต่อะไรเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ยะโฮร์สามารถพัฒนาแซงหน้าพื้นที่ต่างๆ ขึ้นมาเป็น Data Center ที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียได้สำเร็จ ?
🌏 ต้องเล่าก่อนว่า ก่อนจะมียะโฮร์ฮับ ประเทศสิงคโปร์ก็เคยมีชื่อเสียงในการเป็น Data Center ด้วยเช่นกัน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านพื้นที่และพลังงาน ทำให้การพัฒนาในสิงคโปร์ต้องพบเจอกับอุปสรรค เพราะการสร้าง Data Center จำเป็นต้องใช้พื้นที่ พลังงาน และน้ำสำหรับทำความเย็นเป็นจำนวนมหาศาล
1
ดังนั้นในปี 2019 สิงคโปร์จึงต้องพับโครงการลง ในขณะเดียวกันมาเลเซียซึ่งมีข้อได้เปรียบพร้อมกว่า ทั้งแหล่งพลังงาน น้ำ และราคาที่ดินที่ถูกกว่า จึงเร่งดำเนินการสร้างศูนย์ Data Center เพื่อรองรับแหล่งทุนที่จะหลั่งไหลเข้ามาจากพรมแดนที่ติดกันอย่างสิงคโปร์และประเทศอื่นๆ
👨💼 Tengku Abdul Aziz รัฐมนตรีกระทรวงการลงทุน การค้าและอุตสาหกรรมของมาเลเซีย กล่าวว่ามาเลเซียได้ยึดครองธุรกิจศูนย์ข้อมูลระดับโลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น เนื่องจากปัจจัยหลายประการรวมกัน ได้แก่ การอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนด้วยมาตรการกระตุ้นการลงทุนในรูปแบบต่างๆ เช่น โครงการ Digital Ecosystem Acceleration ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปภาษีในปี 2022
⚡ ความสำเร็จที่เห็นอยู่นี้ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น ยะโฮร์ยังต้องเตรียมพร้อมเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทายเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มีคุณภาพตามความต้องการของตลาด และต้องพิจารณาข้อจำกัดด้านพลังงาน เพราะ Data Center ในปัจจุบันยังพึ่งพาการใช้พลังงานจากฟอสซิสและถ่านหินเป็นหลัก