13 ก.ย. เวลา 02:09 • หนังสือ

สมาธิหาย ชีวิตพัง : วิธีกู้คืนความโฟกัสในยุคดิจิทัล กับเทคนิคจากหนังสือ Stolen Focus

ในยุคปัจจุบัน การมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญของคนยุคนี้ Johann Hari นักเขียนชื่อดังได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ในหนังสือ “Stolen Focus” ของเขา โดยชี้ให้เห็นว่าสมาธิเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จและความสุขในชีวิต
หากปราศจากสมาธิที่แน่วแน่ เราอาจพบว่าตัวเองไม่สามารถทำงานที่มีคุณค่าให้สำเร็จลุล่วงได้ และต้องพอใจกับผลลัพธ์ที่ไม่ได้คุณภาพ นอกจากนี้ การขาดสมาธิในการมุ่งไปสู่เป้าหมายระยะยาวอาจทำให้เราหลงทางในชีวิตได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกัน
2
Victor Frankl นักจิตวิทยาชื่อดังเคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่มนุษย์ต้องการคือการดิ้นรนและต่อสู้เพื่อเป้าหมายที่มีคุณค่า” แต่หากเราไม่มีสมาธิ เราก็จะขาดความเข้าใจในตัวเองที่จำเป็นต่อการค้นพบว่าอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงที่เราควรไล่ตาม
Hari เสนอว่าเพื่อค้นพบความสำเร็จและความสุขที่แท้จริง เราจำเป็นต้องพัฒนาสมาธิใน 3 รูปแบบ ได้แก่:
1. Spotlight หรือจุดโฟกัส: ความสามารถในการจดจ่อกับงานหรือกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน จนสามารถสร้างความก้าวหน้ากับงานนั้น ๆ หรือเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง
1
2. Starlight หรือแสงดาว: ความสามารถในการมองเห็นภาพใหญ่และเป้าหมายระยะยาวที่มีความหมาย เปรียบเสมือนดาวเหนือที่นำทางชีวิตเรา
1
3. Daylight หรือแสงกลางวัน: ความสามารถในการสังเกตและเข้าใจตนเองในชีวิตประจำวัน ซึ่งจำเป็นต่อการค้นพบว่าเป้าหมายใดมีคุณค่าและควรค่าแก่การไล่ตาม
1
น่าเสียดายที่ในปัจจุบัน สมาธิทั้งสามรูปแบบนี้กำลังถูกบั่นทอนลงเรื่อย ๆ โดยแนวโน้มที่น่ากังวล 2 ประการ ได้แก่ “The Great Acceleration” และ “The Gradual Deprivation”
The Great Acceleration หมายถึงการที่โลกของเราเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ในปี 2013 หัวข้อการสนทนายอดนิยม 50 อันดับแรกบน Twitter มีอายุเฉลี่ย 17.5 ชั่วโมง แต่เพียงสามปีต่อมา อายุเฉลี่ยของหัวข้อเหล่านี้ลดลงเหลือเพียง 11.9 ชั่วโมงเท่านั้น และยิ่งผ่านพ้นไปก็จะเหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ
กระแสข้อมูลมหาศาลที่ไหลบ่าเข้ามาทุกวันทำให้เราต้องปรับตัวด้วยการอ่านข้อมูลอย่างผิวเผินและรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เราขาดความอดทนในการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้งหรือจัดการกับงานที่ท้าทาย
2
ลองนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เราต้องจัดการกับอีเมลจำนวนมาก ติดตามข่าวสารในกลุ่มแชท เรียกดูข่าวล่าสุด หรือเลื่อนดูโซเชียลมีเดีย
การบริโภคข้อมูลแบบรวดเร็วเช่นนี้ ไม่สามารถทำให้เรามีสมาธิ และทำให้เราไม่มีความพร้อมที่จะทำงานที่ต้องใช้ความคิดเชิงลึก และที่สำคัญเราแทบจะจำข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้แทบไม่ได้เลย
งานวิจัยพบว่ายิ่งเราอ่านเร็วเท่าไหร่ ความเข้าใจก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น และเรามีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ท้าทายและมีความซับซ้อนมากขึ้น
Johann Hari เปรียบเทียบความต้องการที่จะดูดซับข้อมูลมหาศาลโดยไม่สูญเสียความสามารถในการโฟกัสว่าเหมือนกับความต้องการที่จะกินอาหารขยะทุกวันแต่ยังอยากผอมเพรียว ซึ่งเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสมองมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในรอบ 40,000 ปีที่ผ่านมา
2
ส่วน “The Gradual Deprivation” นั้นหมายถึงการที่เราค่อย ๆ สูญเสียทรัพยากรสำคัญที่จำเป็นต่อการมีสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนอนหลับ National Sleep Foundation ประมาณการว่าในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เวลานอนเฉลี่ยต่อคืนลดลงถึง 20% และยังคงลดลงเรื่อย ๆ
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Netflix, Facebook และ Google ใช้ทีมวิศวกรจำนวนมากเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดความสนใจของเราและทำให้เรานอนดึกขึ้น
ในปัจจุบันบริษัทเหล่านี้ยังใช้ AI ขั้นสูงที่เรียนรู้จากพฤติกรรมมนุษย์นับล้านชั่วโมงเพื่อปรับปรุงเนื้อหาและลดเวลานอนของเราให้มากขึ้นไปอีก TikTok เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเนื้อหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถสร้างการเสพติดได้มากเพียงใด
2
แม้ว่าการนอนน้อยลงเพียง 1-2 ชั่วโมงอาจดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ความจริงแล้วส่งผลกระทบอย่างมาก เพราะ 80% ของการนอนหลับแบบ REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งเป็นช่วงที่สมองประมวลผลและจัดระเบียบข้อมูลที่ได้รับระหว่างวัน เกิดขึ้นใน 20% สุดท้ายของช่วงเวลา 7-8 ชั่วโมงที่เราควรนอนในแต่ละคืน
หากเราพลาดการนอนหลับแบบ REM ไป เราจะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความรู้สึกสับสนและไม่สามารถมีสมาธิหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Matthew Walker นักวิจัยด้านการนอนหลับพบว่าการนอนหลับเพียง 6 ชั่วโมงต่อคืนเป็นเวลา 10 วันติดต่อกัน ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงเทียบเท่ากับการไม่ได้นอนเลยเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
แล้วเราจะแก้ไขมันได้อย่างไร? Hari เสนอแนวทางดังนี้:
2
1. ให้ตระหนักถึงผลกระทบของการบริโภคข้อมูลอย่างรวดเร็ว เมื่อเรารู้ตัวว่าพฤติกรรมนี้ส่งผลต่อสมาธิและความสัมพันธ์ของเรา เราจะมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากขึ้น
2. งดเว้นการเช็คโทรศัพท์และรับข้อมูลดิจิทัลในช่วง 60 นาทีแรกหลังตื่นนอน ใช้เวลานี้เพื่อฟื้นฟู Daylight, Starlight และ Spotlight ของเรา โดย:
  • ให้ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรสำคัญที่สุดสำหรับเรา? อะไรคือจุดแข็งของเรา? เราจะสร้างคุณค่าที่แตกต่างให้กับผู้อื่นได้อย่างไร?
  • เขียนเป้าหมายระยะยาวและวางแผนการทำงานรายสัปดาห์และรายวันที่จะนำไปสู่เป้าหมายเหล่านั้น
  • เจาะลึกเป้าหมายประจำวันหนึ่งข้อจนครบ 60 นาที
3. ฝึกนิสัย “อ่านหนังสือก่อน” เมื่อเช็คโทรศัพท์ โดยเปิดแอปอ่านอีบุ๊กและอ่านสักสองสามย่อหน้าก่อนที่จะเช็คอีเมล แชท หรือโซเชียลมีเดีย วิธีนี้จะช่วยฝึกสมาธิที่ดีขึ้น เพราะการอ่านหนังสือส่งเสริมให้เราเจาะลึกเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะกระโดดข้ามจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งอย่างไร้ทิศทาง การอ่านหนังสือยังช่วยให้เราได้รับข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองและเรียบเรียงอย่างดี โดยไม่ถูกรบกวนด้วยโฆษณาหรือเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้อง
2
4. ให้ความสำคัญกับการนอนหลับ โดยให้คำมั่นสัญญากับตัวเองล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีมารบกวนการนอน ตัวอย่างเช่น :
1
  • ลบแอปที่ทำให้เรานอนดึกออกจากโทรศัพท์ และย้ายไปไว้ในอุปกรณ์อื่นที่เก็บล็อกไว้ก่อนเวลานอน
  • ใช้โปรแกรมบล็อกแอปเพื่อจำกัดการใช้งานแอปต่าง ๆ ในช่วงสองชั่วโมงก่อนเข้านอน
  • ติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อตัดไฟอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเวลาที่กำหนด
5. ประกาศความแน่วแน่ให้สังคมรับรู้ เช่น :
  • ประกาศให้ครอบครัวรับรู้ว่าเราจะปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดในเวลาที่กำหนด และหันไปทำกิจกรรมอื่นแทน เช่น เล่นบอร์ดเกมหรืออ่านหนังสือ
  • มอบโทรศัพท์ให้แฟนของเราเก็บรักษาไว้ในช่วงเวลาพักผ่อน โดยขอคืนเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
  • หากการใช้โซเชียลมีเดียทำให้เรานอนดึก ให้ประกาศพักการใช้งานแอปนั้น ๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น สองเดือน และแจ้งให้เพื่อน ๆ ในโลกออนไลน์ทราบ
การฝึกฝนเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นการจำกัดตัวเองในตอนแรก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือการปลดปล่อยตัวเราจากพันธนาการของเทคโนโลยีและคืนอิสรภาพให้กับจิตใจของเรา เมื่อเราสามารถควบคุมความสนใจและสมาธิของตัวเองได้ดีขึ้น เราจะพบว่าชีวิตมีคุณภาพและความหมายมากขึ้น
1
Mihaly Csikszentmihalyi นักจิตวิทยาผู้ศึกษาเรื่อง flow state มาอย่างยาวนาน พบว่าการอ่านหนังสือเป็นวิธีที่ง่ายและเชื่อถือได้ที่สุดสำหรับผู้คนในการสัมผัสประสบการณ์ flow state ซึ่งเป็นสภาวะที่เรารู้สึกมีความสุข มีสมาธิจดจ่อ และมีประสิทธิภาพสูงสุด
1
น่าเสียดายที่ในปัจจุบัน มีชาวอเมริกันเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่อ่านหนังสืออย่างน้อยหนึ่งเล่มต่อปี และจำนวนผู้ที่ไม่อ่านหนังสือเลยได้เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าระหว่างปี 1978 ถึง 2014
แม้ว่าสถิติเหล่านี้จะน่าวิตก แต่มันก็เป็นโอกาสสำหรับเราที่จะสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตตัวเองได้ ด้วยการเริ่มต้นอ่านหนังสือเพียงวันละสองสามย่อหน้า เราสามารถฝึกจิตใจให้มีความสามารถในการจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในการต่อต้าน “The Great Acceleration” ของโลกยุคดิจิทัล
1
Johann Hari สรุปไว้อย่างชัดเจนว่า “เราต้องตัดสินใจตอนนี้ว่าเราให้คุณค่ากับความสนใจและสมาธิหรือไม่ ความสามารถในการคิดอย่างลึกซึ้งสำคัญสำหรับเราหรือไม่ เราต้องการสิ่งนี้สำหรับลูก ๆ ของเราหรือไม่ ถ้าเราต้องการ เราก็ต้องต่อสู้เพื่อมัน”
1
คำพูดนี้เป็นการเตือนสติที่ทรงพลัง เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้าและการแข่งขัน การมีสมาธิที่แน่วแน่อาจกลายเป็น “ซุปเปอร์พาวเวอร์” ที่ทำให้เราโดดเด่นและประสบความสำเร็จได้
การเรียกคืนสมาธิของเราไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เริ่มต้นด้วยการตระหนักถึงผลกระทบของการบริโภคข้อมูลอย่างผิวเผิน จากนั้นค่อย ๆ สร้างนิสัยที่ส่งเสริมสมาธิเชิงลึก เช่น การงดเว้นการใช้เทคโนโลยีในช่วงเช้า การฝึกอ่านหนังสือก่อนเช็คโซเชียลมีเดีย และการให้ความสำคัญกับการนอนหลับอย่างเพียงพอ
1
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจดูเล็กน้อย แต่เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง มันจะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อคุณภาพชีวิตของเรา เมื่อเรามีสมาธิที่ดีขึ้น เราจะสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าใจตัวเองและผู้อื่นได้ลึกซึ้งขึ้น และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น
ในท้ายที่สุด การมีสมาธิไม่ได้หมายถึงการตัดขาดจากโลกดิจิทัลโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดและมีสติ โดยไม่ปล่อยให้มันควบคุมชีวิตของเรา เมื่อเราสามารถสร้างสมดุลระหว่างการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกและการเชื่อมต่อกับตัวเองได้ เราจะพบว่าชีวิตมีความหมายและความสุขมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
2
References :
หนังสือ Stolen Focus: Why You Can’t Pay Attention–and How to Think Deeply Again โดย Johann Hari
2
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/stolen-focus-johann-hari/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา