14 ก.ย. เวลา 06:54 • หุ้น & เศรษฐกิจ
มหัศจรรย์ผลตอบแทนทบต้น เมื่อหุ้นในกระดานบวก 14% แต่หุ้นในพอร์ตผม +57%
เมื่อวันจันทร์ราคาหุ้นบวกไป 14% เพราะมีข่าวว่าจะเข้าดัชนี S&P 500 ได้ ขอเข้าประเด็นเลย เรื่อง business model เคยเล่าไปแล้ว ไปย้อนอ่านเอาได้
ใครอ่านหัวข้อผ่าน ๆ แล้วอาจจะงง ว่าทำไมเป็นงั้น ขอเล่าเร็ว ๆ ว่า ผมซื้อหุ้นตัวนี้มาในราคา 7$ กว่า ๆ และผมขอสารภาพตรง ๆ เลยว่า ที่ผมมาเล่าอะไรแบบนี้ได้ เพราะผมโชคดี แต่ในความโชคดี ก็ได้เรียนรู้อะไรที่มีคุณค่า
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 4$ ถ้าคิดจากราคาปิดวันศุกร์ก็เพิ่มขึ้น 14% แต่ถ้าคิดจากทุนผมที่ 7$ กว่า ๆ มันเลยบวกได้ถึง 57%
นั่นคือจากเดิมหุ้นตัวนี้ในพอร์ต +308% พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 14% หุ้นในพอร์ตผมเลยบวกได้ถึง 365%
2
มีหุ้นตัวอื่นในพอร์ตที่ติดลบไป 70.2% ก็มี แล้วมีอยู่วันหนึ่งราคาหุ้นในกระดานลงไป 15.59% แต่หุ้นในพอร์ตผม -4.6% เท่านั้นเอง
จากเดิม -70% พอราคาหุ้นลงมา หุ้นในพอร์ตผมลบไป 74.8%
แปลว่า เมื่อเวลาผ่านไป หุ้นที่เราเลือกผิด มันจะส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของเราน้อยลงเรื่อย ๆ
ขณะที่หุ้นที่เราเลือกถูก มันก็ยิ่งทบต้นมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตของเรามากขึ้น ๆ
นี่เป็นสิ่งที่ผมเจอกับตัว เมื่อลงทุนในหุ้นอเมริกา เพราะถ้าเราคิดถูก ตลาดก็ให้รางวัลเราแบบสุด ๆ แต่ถ้าเราคิดผิด มันก็ลงโทษเราแบบสุด ๆ เหมือนกัน 555
ผมแค่จัดพอร์ตแบบเท่า ๆ กันหมดทุกตัวเท่านั้น เพราะผมไม่รู้ว่า หุ้นตัวไหนที่เราคิดผิด หุ้นตัวไหนที่เราคิดถูก
เพราะถ้ารู้คงอัด All in และคงไม่ต้องไปเสียค่าโง่ให้ Stark
พอพูดถึง Stark ก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ซื้อหุ้นตัวนี้ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมขาดทุนอย่างหนักจาก Stark เลย
ถ้าวันนั้น ผมเสียเวลาไปนั่งเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว คงพลาดโอกาสแก้ตัวแบบนี้
เคยมีคนถามว่า ทำไมใจเอ็งมันนิ่งจัง ขาดทุนหนักขนาดนี้แล้ว ?
จริง ๆ ผมยึดหลักว่ามี 3 สิ่งบนโลกใบนี้ ที่มีค่ามากกว่าเงิน
1. เวลา เพราะเป็นทรัพยากรที่เราใช้ทุกวินาที แถมมีอยู่อย่างจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าแต่ละคนมีเวลาเหลือเท่าไร
2. ความเชื่อมั่น ถ้าไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวเรา ก็คงไม่มีใครหยิบยื่นโอกาสให้เรา บางโอกาส ก็ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน
3. สุขภาพของเราเอง
แล้วเวลาก็เป็นตัวแปรสำคัญ ในสมการดอกเบี้ยทบต้นด้วย ผมเลยไม่ยอมเสียเวลาไปแบบเปล่าประโยชน์โดยเด็ดขาด
1
แล้ววันจันทร์ที่ผ่านมา โชคก็เข้าข้างผม เพราะนอกจากจะได้กำไรจากหุ้นตัวนี้ ไปต่อยอดด้วยการซื้อหุ้นตัวอื่นแล้ว
หุ้นฮ่องกงที่เคยซื้อทิ้งไว้เมื่อ 3 ปีก่อน ก็จ่ายปันผลเพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่า แม้กำไรจะทรง ๆ เพราะบริษัทผ่านพ้นช่วงการลงทุนอย่างหนักไปแล้ว ผมเลยได้ dividends yield เกือบ 10%
1
บวกกับการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย ทำให้ผ่านไปเพียงปีเศษเท่านั้น ผมสามารถลบล้างความเสียหายที่ตัวเองก่อไว้ได้แล้ว จากเดิมที่คาดว่าต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี ในการฟื้นตัว
1
จริง ๆ ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอก และพูดแบบนี้ก็อาจไม่ถูกนัก เพราะกำไรส่วนใหญ่ยังเป็น unrealized profit อยู่
อาทิตย์หน้าอาจกลับไปไม่เหลืออะไรเลยก็ได้นะ 555
ที่บอกว่าตัวเองไม่ได้เก่งอะไร เพราะที่ผมรอดมาได้ ก็เพราะผมเป็นคนโชคดี บังเอิญมีคนเก่ง ๆ ที่เขาคอยแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เราอยู่ตลอดเวลา
1
ผมรู้ตัวเองมาตลอดว่า ผมไม่ใช่คนเก่งอะไร ตอนเด็กก็ไม่ได้ฉลาดนัก แต่โชคดี ได้ไปอยู่ในที่ ๆ มีแต่คนเรียนเก่งตลอดเลย
2
พอมาทำงานก็เจอแต่เพื่อนร่วมงานเก่ง ๆ พอโตมาแบบนี้ ก็เลยเป็นคนที่พูดให้น้อย แล้วฟังให้มาก
1
เพราะผมก็เจียมเนื้อ เจียมตัว ว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นคนที่อ่อนที่สุดในกลุ่มตลอด 555
1
เลยอยากใช้พื้นที่ตรงนี้ ขอบคุณทุกคนที่คอยให้คำแนะนำดีๆ กับผม เมื่อปีที่แล้วด้วย เพราะผมเอาคำสอนของทุกคนมาปฏิบัติ ผมจึงมีวันนี้
1
และก็คงไม่เข้ามาเขียนอะไรแล้ว เพราะยิ่งศึกษา ก็ยิ่งพบว่าเรารู้น้อยมาก ๆ ชีวิตเรายังต้องเจอกับเรื่องที่เราไม่รู้อีกเยอะเลย เลยขอเวลาไปหาความรู้ดีกว่า
2
เสียดายจริง เคยเขียนว่าได้เรียนรู้อะไรจาก stark บ้าง แต่โพสนั้นไม่อยู่แล้ว เพราะ stark โดนถอดออกจากตลาดไป
1
วันนี้เลยมาเขียนใหม่ ว่ารอดจากหลุมมาได้ยังไงแทน หวังว่าโพสจะไม่หายอีกนะ 555
1
โฆษณา