14 ก.ย. เวลา 16:02 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

รีวิวภาพยนต์ หลานม่า ดูแล้วน้ำตาไหลพราก ใจแข็งแค่ไหน...ก็ยังแพ้ทางให้กับบทหนังชีวิต

หลานม่า กำกับโดย พัฒน์ บุณนิธิ
ส่วนตัวเจน ไม่ค่อยชอบดูหนังแนวครอบครัว เป็นเพราะเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ได้สมบูรณ์เต็มร้อย หนังชีวิตตัวเราเจอจนชินชาเสียแล้ว ดูหนังเรื่องไหนก็คล้อยตามสนุกยาก มันดูแล้วชินชาไปหมด
แต่ภาพยนต์เรื่อง "หลานม่า" เอาอยู่มาก ตกคนดูอย่างเจนได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ขนาดว่าไม่ได้ตั้งใจดู แต่กลับติดภาพยนต์เรื่องนี้จนต้องดูให้จบ ความรู้สึกมันเรียลมาก
สมจริง เหมือนเอาชีวิตคนจริง ๆ ในครอบครัวคนจีนมาเขียน
ถึงขนาดว่า เจนที่เคยเสียน้ำตาให้กับหนังเรื่อสุดท้ายเมื่อหลายสิบปีก่อนอย่าง Forrest Gump มาเสียน้ำตาอีกครั้งให้กับหนังเรื่องนี้ "หลานม่า"
หลานม่า เริ่มต้นจากรอยต่อของเด็กยุคใหม่ ลูกหลานคนจีน ชื่อ เอ็ม หลานชายผู้ไม่เอาไหน งานการไม่ทำ ติดเกม ใจทั้งดวงอยู่กับคนนอกบ้าน ขนาดที่ว่า แม่มานั่คุย บอกว่าอาม่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เอ็มก็ยังเห็นความเป็นตายของตัวละครในเกมคอมพิวเตอร์ตรงหน้าสำคัญกว่า
เรื่องราวดำเนินต่อไปผ่านระยะเวลาของ "ต้นทับทิม" เจ้าต้นทับทิมหน้าบ้านนี่แหละที่ทำให้เดาระยะเวลาสุกงอมของตัวละครในเรื่องออก ทับทิมผลสวยหลากสีเขียวเหลื่อมแดง กว่าจะสุกงอมจนน่ารับประทาน ก็ผ่านเรื่องราวมากมาย เปรียบได้กับละครชีวิตที่เล่าผ่านตัวของ "หลานเอ็ม" ที่กว่าจะเติบโตทางความคิด ก็ต้องผ่านเรื่องราว ...กว่าจะเป็นผู้เป็นคน ...กว่าจะมีความคิดที่มั่นคง ว่า "ความรักที่เที่ยงแท้" โดยไม่มี "เงิน" มาเกี่ยวข้อง ความรักนั้นจะเป็นอย่างไร
ผลทับทิมแทนหลานชายผู้เป็นหมาหัวเน่าในครอบครัว ตัดมาที่ตัวละครอีกคนหนึ่ง "มุ่ย" หลานสาวผู้เป็นดั่งนางพยาบาลนางฟ้าชุดขาวคอยดูแล "อากง"
พยาบาลเป็นอาชีพในฝันของหลาน ๆ คน ในครอบครัวคนจีน ถือว่ามีเกียรติและบุญ ภาพจำของคนทั่วไปก็คือความดีงามและความเสียสละ แต่ในหนังเรื่องหลานม่า นำเสนอมุมมองมองโลกตามความจริง ภาพยนต์เล่าอีกด้านหนึ่งของอาชีพพยาบาล (ไม่ว่าจะเป็นพยาบาลวิชาชีพจริง ๆ หรือครอบครัวเข้าใจว่าเป็นพยาบาล) ภาพยนต์เล่าว่า สุดท้ายแล้วพยาบาลก็คืออาชีพหนึ่ง ที่ทำเพื่อเงิน ไม่ได้มีแต่ด้านดีที่เราคุ้นเคย แต่มีด้าน "ผลประโยชน์" มาเกี่ยวข้องด้วย
มุ่ย หลานสาวคนโปรดของอากง ได้รับมรดกเป็นบ้านหลังงามจากการดูแลผู้สูงอายุระยะสุดท้าย มุ่ยใช้คำว่า "งานสบายรายได้ดี" บอกกับเอ็ม คล้ายจะเล่าว่า ตัวละครที่ดูดีที่สุด ขาวสะอาดหน้าตางดงามหมดจด ก็ยังมีด้านที่เป็นพื้นที่สีเทาอยู่
คนเราไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ และไม่มีใครชั่วร้ายร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้แต่นางพยาบาลชุดขาว หลานคนโปรด ก็ยังทำเพื่อผลประโยชน์ ดูแลคนแก่ระยะสั้น ได้หัวใจคนแก่แล้ว ตัวคนดูแลสุขสบายไปอีกยาวนาน
คล้ายว่ากิจวัตรประจำวันดูแลอากง ไม่มีหัวใจที่แท้จริงของมุ่ยลงไปผสมอยู่เลย
ภาพยนต์ขึ้นต้นมาอย่างนี้ "เอ็ม" เห็นชัยชนะอันสวยหรูของ "มุ่ย" ได้รับมรดกอยู่คนเดียวทั้งที่เป็นหลาน ไม่ใช่ลูก เอ๊ะ! ของอย่างนี้ใครดูแลคนนั้นได้นี่นา หรือก็คือ "หว่านพืชหวังผล"
เอ็มจึงเปลี่ยนใหม่ จากคนติดเกม ไม่สนใจโลก ไม่ยอมทำงาน ไม่เคยไปเยี่ยมอาม่าเลย เอ็มลุกขึ้นสู้อีกครั้ง เพื่อมรดกสุดท้ายของ "อาม่า"
เอ็มที่เหมือนจะเป็นตัวละครหัวสมัยใหม่ คิดแบบวิทยาศาสตร์จ๋า ไม่แคร์สังคมวัฒนธรรมที่เป็นรากอะไรทั้งนั้น ไปหาอาม่าด้วยใจอยากได้เงินจากการขายบ้านอาม่าเป็นที่ตั้ง
ตัวละครรอบข้างมีส่วนส่งให้บทเรื่องหลานม่าทะยานไปสู่ความเรียล และทุกรายละเอียดในเรื่อง ผู้กำกับตั้งใจจัดวางและใส่รายละเอียดปลีกย่อยมาอย่างดีมาก ๆ จริง ๆ เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน เช่นว่า
หลานจะไปหวังเป็นเบอร์หนึ่งได้อย่างไร อาม่ารักรุ่นลูกมาก่อน รักมาก่อนที่หลานจะลืมตาเกิดเสียอีก
หรือแม้แต่ตอนที่เอ็มพยายามพิชิตใจอาม่า เอาใจคนแก่สุดฤทธิ์ อะไรที่เอ็มไม่เคยทำก็ต้องทำ อย่างตื่นเช้า เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ใช้ใจดูแลผู้อื่น เอาความสบายใจของผู้อื่นเป็นที่ตั้ง เรื่องเหล่านี้เอ็มไม่เคยทำเลย เพราะถูกแม่ตามใจมาตลอด
เอ็มเพียรอดทนดูแลอาม่า ที่ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย จนได้ใจอาม่าแล้ว ปรากฏว่า นายหน้าคนที่มาตามซื้อบ้าน จากเหตุการณ์ที่เอ็มประกาศขายบ้านอาม่า นายหน้ามาติดต่อขอซื้อบ้าน และมาเจออาม่า
อาม่าถามว่าใครประกาศขาย นายหน้าบอกว่า ผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ เอ็ม ธนพัฒน์
อาม่าไม่พูดอะไร รู้แล้วว่าหลานชายมาดูแลเพื่อหว่านพืชหวังผลไม่ต่างจากคนอื่น ความจริงก็รู้ตั้งแต่แรก แต่เพราะรักหลาน จึงมองแต่ส่วนดี แต่เมื่อมารู้อย่างกระจ่างแจ้ง อาม่าก็คืออาม่า คนแก่น่ะหรือ หลานอย่างไรก็คือหลาน รักอย่างไรก็รักอยู่อย่างนั้น หลานจะดีหรือชั่ว เอ็มก็คือหลานอาม่าอยู่ดี
อาม่าไม่พูด ไม่บอกเอ็ม และเลือกที่จะอยู่กับเอ็มต่อไปตามปกติ
อาการของอาม่านับวันจะแย่ลง ร่างกายไม่ตอบสนองการรักษา กู๋เคี้ยง (ลุงของเอ็ม) ก็มารับอาม่าไปดูแลซึ่งดูแล้วกู๋เคี้ยงนี่แหละ คือหลานคนโปรดที่อาม่านับวันรอ
เอ็มที่เริ่มเข้าใจอาม่า เห็นว่า กู๋เคี้ยงเองก็หว่านพืชหวังผล เพียงแต่ว่า เอ็มเป็นหลาน กู๋เคียงเป็นลูก อย่างไรเสีย ชั้นลูกก็ต้องมาก่อน
ในขณะที่กู๋โสย ลูกอาม่าคนที่สอง ชีวิตเหลวแหลก ติดหนี้หลักล้าน มีนิสัยชอบลักขโมย แอบมาขโมยเงินของอาม่า ที่ได้จากการขายโจ้ก
กู๋โสยแอบเข้าบ้านอาม่า ขโมยเงินไปสองแสนบาท ซ้ำยังมีเจ้าหนี้มาตามถึงบ้านอาม่า
เอ็มที่เริ่มเห็นความรักของอาม่ามากขึ้น เข้าใจอาม่ามากขึ้น เอ็มไปหากู๋โสยถึงบ้าน บ้านกู๋โสยเป็นแค่ห้องเช่าเท่ารูหนู ใบแจ้งชำระหนี้กองเต็มกล่องรับจดหมาย เอ็มถามว่า หนี้เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ อาม่าสะสมเงินจากการขายโจ๊ก กว่าจะได้สองแสน ยากลำบากขนาดไหน
กู๋โสยเป็นตัวแทนคนที่ "ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น" ชีวิตจริงไม่ใช่ว่าไม่มี และมีจำนวนมากด้วย กู๋โสยไม่ใช่ว่าไม่มองชีวิตที่ดีกว่า ไม่ใช่ว่าไม่อยากเป็นลูกที่ดี ประสบความสำเร็จอย่างกู๋เคี้ยง ลูกชายคนแรกของอาม่า ที่มีเงินทองมากมาย มีครอบครัวที่น่ารัก แต่ชีวิตของกู๋โสยดำเนินเหลวแหลกมาจนบัดนี้ เขาเอาตัวไม่รอด และจะหาหนทางลืมตาอ้าปากได้อย่างไร
เอ็มได้มรดกมาจากอากงเป็นเข็มขัดเงินเส้นหนึ่ง แค่เส้นเดียวที่มีอยู่ จึงยกให้กู๋โสยเพื่อแก้ความขัดสน และเอ็มกลับมาบอกอาม่าว่า "ไปบ้านกู๋โสยแล้ว ไม่เจอใคร"
"กู๋เคี้ยง" เป็นตัวละครที่เหมือนจะดีที่สุด ประสบความสำเร็จในชีวิตมากที่สุด แต่กลับพลิกบทบาท มีความจริงความจริงใจต่ออาม่าน้อยที่สุด และเป็นคนที่ "หว่านพืชหวังผล" หวังจะได้โฉนดบ้านของอาม่ายิ่งกว่าเอ็มเสียอีก
กู๋เคี้ยงมีครอบครัวที่ดี มีภรรยา มีลูกสาวที่น่ารัก มีบ้านหลังใหญ่ พาอาม่ามาอยู่ด้วย ซื้อเตียง ซื้อทีวี ให้ภรรยาคอยดูแลอาม่า แต่กลับไม่เคยเข้าใจว่า แท้จริงแล้วอาม่าต้องการอะไรในชีวิต ชอบอาหารอะไร หรืออยู่แบบไหน
"คนแก่ติดบ้านเสมอ" เรื่องนี้จริงเสียยิ่งกว่าจริง ยิ่งคนจีนในแผ่นดินไทย อยู่บ้านไหนมาทั้งชีวิต ยิ่งติดบ้าน ไปไหนก็ห่วงแต่บ้าน อาม่าอยู่กับกู๋เคี้ยงได้ไม่นาน ก็กลับมาบ้านเดิม
เอ็มที่ได้รับการเสนอเงินจากกู๋เคี้ยง และถูกกันออกห่าง เริ่มเห็น "ชีวิตจริง" ของอาม่า รวมทั้งมองเห็นความรักของอาม่า ว่าไม่ว่าลูกแต่ละคนจะเป็นอย่างไร ความรักของอาม่านั้นทั่วถึงอย่างที่สุด
"แม่ของเอ็ม" เป็นลูกสาวของอาม่า มีชีวิตกลาง ๆ ทำงานชนชั้นแรงงานตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป "ซิว" น้อยเนื้อต่ำใจมาโดยตลอด เรียนไม่จบ ออกมาช่วยอาม่าขายโจ้ก มีลูกชาย (เอ็ม) ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจอาม่า
ซิวแลกกะทำงาน จากกะกลางวันเป็นกะดึก เพื่อที่กลางวันจะได้พาอาม่าไปลงสระว่ายน้ำ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย
อาม่าพอรู้ว่าลูกหลานลำบาก ก็ไม่อยากมาสระว่ายน้ำ บ่นกับลูกสาว จนซิวน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าตนเป็นลูกสาว ทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่ใช่ลูกชายอาม่า ทำอะไรอาม่าก็รักไปเสียทุกอย่าง มาว่ายน้ำครั้งนี้ คงต้องให้ลูกชายหัวโปรดพามากระมัง
อาม่าทราบเรื่องมะเร็งเพราะเอ็ม เอ็มบอกว่า "ก็อาม่ามีสิทธิที่จะรู้อาการป่วยของตนเอง ร่างกายอาม่า อาม่าควรจะทราบ"
เรื่องราวบทภาพยนต์ดำเนินมาเรื่อย ๆ เนิบนาบ แต่ไม่มีน้ำ มีแต่เนื้อทั้งสิ้น
อาม่าตัดสินใจยก "โฉนดบ้าน" ให้แก่โสย บุตรชายคนที่ลำบากมากที่สุด
เอ็มตัดสินใจทิ้งอาม่า รวมทั้งถามว่าทำไมอาม่าไม่เห็นเอ็มเป็นที่หนึ่ง
ดอกทับทิมเริ่มออกแล้ว ใกล้จะบานแล้ว ทับทิมออกดอก มักจะไม่ติดลูก หมายถึงวัยอันร่วงโรย วันเวลาผันผ่าน ใกล้แล้ว ดอกทับทิมใกล้จะร่วงโรยจากไป เปรียบได้กับชีวิตของอาม่า ไม้ใกล้ฝั่ง เมื่อไม่มีสมบัติ ก็ไม่มีใครอยากดูแล
อาม่าถูกทิ้งโดยกู๋เคี้ยง ลูกชายคนแรกที่เคยอาสาจะดูแล เพราะอาม่าไม่มีสมบัติแล้ว ยกให้แก่โสย บุตรชายคนที่สองซึ่งเป็นหนี้มากที่สุด เคี้ยง บุตรชายคนแรกจึงโกรธ เมื่อไม่สมหวัง ก็ทิ้งขวางผู้ที่เคยเป็นแม่
โสยรีบเอาโฉนดบ้านอาม่าไปขายและใช้หนี้ สุดท้ายปล่อยให้ไปอาม่าอยู่บ้านพักคนชรา อยู่ห้องพักรวม ทั้งที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
เอ็มตามไปหาอาม่าหลังจากคิดได้ ความคิดถึงและผูกพันมีมากกว่า แม้ว่าขึ้นต้นจะเต็มไปด้วยคำว่าผลประโยชน์ก็ตาม
เอ็มหลานม่า ตามไปหาอาม่าที่บ้านพักคนชรา เจอกู๋โสย กู๋โสยบอกว่า ขายบ้านมรดกใช้หนี้ไปแล้ว เหลือเงินอยู่ก้อนหนึ่ง เอ็มเอาไปเถอะ เพราะเอ็มดูแลอาม่า เอ็มในตอนนี้เห็นเงินอยู่ตรงหน้า แต่เห็นอาม่าอยู่ในบ้านพักคนชราซ่อมซอ เอ็มตัดสินใจไม่รับเงิน และบอกกับกู๋โสยว่า
"กู๋โสยเก็บเงินไว้เถอะ เพราะหลังจากนี้จะไม่มีใครช่วยกู๋โสยอีกแล้ว"
นั่นหมายความว่า อาม่าในฐานะ "แม่" ช่วยลูกจนลมหายใจสุดท้าย หลังจากนี้ คือ "ชีวิตจริง"
คนวัยกู๋โสยกำลังอยากได้อยากมี ไม่เคยมองกลับมาในร่องรอยความเสียสละของอาม่า คิดแต่ว่า ตนไม่มี คิดแต่ว่าตนเป็นหนี้ตรงหน้า จะใช้หนี้อย่างไร
ลืมไปแล้วว่าบ้านที่อาม่ารัก อยู่มาตลอดชีวิตแต่งงาน ต้องจำใจขายเพราะทำเพื่อลูก ใช้หนี้ให้ลูก ทั้งหมดก็เพราะรักลูกยิ่งกว่ารักตัวเอง
ก่อนที่อาม่าจะป่วยหนัก อาม่าเคยไปหา "พี่ชาย" ของอาม่า อาม่ามาเพื่อขอความช่วยเหลือ จะขอเงินพี่ชายหนึ่งล้านบาท "พี่ชาย" ร่ำรวยมาก เป็นเศรษฐี ต้อนรับอาม่าอย่างดี แต่เรื่องเงินกลับไม่ให้ แม้แต่ห้าบาทก็ไม่ให้ ถือว่าอาม่ามีผัวไม่ดี ไม่ได้เรื่อง
อาม่าถามพี่ชายว่า "ก็ผัวไม่ได้เรื่องคนนั้น พี่ชายและครอบครัวเป็นคนจัดหาไม่ใช่หรือ"
พี่ชายอาม่าว่า "ลื้อเป็นคนต่างแซ่ไปแล้ว"
อาม่าทวงถาม ว่าอาม่าดูแลปู่ย่าทวดมา แต่อาม่าไม่ได้รับมรดกอะไรเลย อยากให้พี่ชายช่วยสักครั้ง ตอนนี้ป่วยหนัก ต้องใช้เงิน
พี่ชายอาม่าว่า ไม่ให้เงินแม้แต่ห้าบาท และเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็คือแล้วไป ไม่อยากสนใจอาม่าอีก
นี่คือชีวิตจริงของครอบครัวคนจีน ลูกผู้หญิงกตัญญูเป็นที่ตั้ง แต่ลูกชายได้สมบัติทุกอย่าง และการช่วยเหลือตามหลังนั้น ...ถือว่าไม่มี ตัวใครตัวมัน
สงครามมรดก เป็นเรื่องที่บ้านคนจีนเห็นกันจนชินชา แต่มันสลักฝังใจอย่างหดหู่ เหมือนเสี้ยนหนามที่ฝังลึกอยู่อย่างนั้น ตราบจนวันตาย
อาม่ากลับบ้านพร้อมกับความเสียใจ พึ่งพาใครไม่ได้ กลับมาดูแลตนเอง
มีฉากหนึ่งที่อาม่าเอาเงินที่ได้จากการขายโจ้กไปฝากธนาคาร และไม่ให้หลานเอ็มตามเข้าไปในธนาคารด้วยกัน อาม่าว่า "เดี๋ยวรู้เลขบัญชีหมด" ฉากนี้เหมือนจะกวน ๆ แต่ความจริงแล้วมีเรื่องราวมากกว่านั้น
ซิวแม่ของเอ็ม และเอ็ม หลานชาย รับอาม่ามาดูแล แม้ว่าอาม่าจะไม่มีสมบัติแล้วก็ตาม เตียงนอนจากบ้านกู๋เคี้ยง ทีวีเปิดโรงงิ้ว ถูกยกมาที่บ้านของเอ็ม
อาม่าบอกกับซิว ลูกสาว อาม่าบอกว่า ที่ซิวคิดว่าม่าไม่รัก แต่ซิวรู้ไหม ในบรรดาลูกทั้งสาม อาม่าอยากมาอยู่กับซิวและหลานเอ็มมากที่สุด
ตัวละครที่พลิกบทบาทได้อย่างดีเยี่ยม ก็คือ กู๋เคี้ยง กู๋เคี้ยงนอกจากจะไม่ดูแลอาม่าในระยะสุดท้ายแล้ว เพราะอาม่าไม่มีมรดก กู๋เคี้ยงยังพยายามขอโฉนดบ้านของอาม่าไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ในช่วงที่อาม่าป่วยหนักด้วย เรียกได้ว่าลูกชายหัวโปรด
แค่จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ลูกคนโปรด กู่เคี้ยงหน้าที่การงานดี ร่ำรวย แต่ก็ยังโลภมาก เอาคำว่ารักแม่ขึ้นบังหน้า แต่ใจจริงมีแต่ผลประโยชน์ เมื่ออาม่าหมดผลประโยชน์ ไม่มีอะไรจะให้ กู๋เคี้ยงก็ทิ้งอาม่า และไม่ย้อนกลับมาดูแลอีกเลย แม้แต่วันที่กู๋เคี้ยงพาครอบครัวมาดูใจอาม่าวันสุดท้าย กู๋เคี้ยงก็ยังไม่อยากจะลงจากรถ
แต่สุดท้ายกู๋เคี้ยงก็ยอมลงจากรถ เพราะเอ็มลงมาเกลี้ยงกล่อม
เอ็มดูแลอาม่าจนสิ้นลมหายใจ อาม่าทิ้งเงินในบัญชีไว้ให้เอ็มก้อนหนึ่ง สะสมมาให้เอ็มตั้งแต่เอ็มยังเป็นเด็ก เพราะเอ็มในตอนเด็กเคยสอบได้ที่หนึ่ง และบอกกับอาม่าว่าอยากมีตังซื้อบ้าน ซื้อรถ ให้อาม่าเก็บเงินไว้ให้เอ็มเยอะ ๆ เก็บจนอาม่าเสียเลยได้ไหม เอ็มอยากมีตัง
เอ็มโตขึ้น ลืมคำพูดเหล่านั้นไปแล้ว แต่อาม่ายังคงจำและทำตามสัญญาเรื่อยมา
สำหรับอาม่า ไม่มีใครเป็นที่หนึ่ง แต่ความรักของอาม่า รักลูกหลานทุกคน เพียงแต่ว่าช่วยลูกคนที่ลำบากก่อน นี่คือวัฒนธรรมคนไทยจีนที่ให้ความรู้สึก "สมจริง" ที่สุด ยิ่งกว่าภาพยนต์เรื่องไหน
อาม่าเก็บเงินเข้าบัญชีเอ็ม ตามฉากที่ไปฝากธนาคารนั่นแหละ กระทั่งอาม่าป่วย หรือกู๋โสยติดหนี้ ก็ไม่ได้ถอนเงินก้อนนี้ออกมา
เอ็มตัดสินใจเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อฮวยซุ้ย
การต่อสู้ระหว่างสองแนวคิดปรากฎในฉากนี้
เอ็มเคยบอกกับอาม่าว่า "ดอกไม้บนฮวยซุ้ยของอากง โรย ๆ ไปเถอะ คนตายจะมารับรู้อะไร"
แต่อาม่าว่า "อย่างน้อยก็ทำให้ลูกหลานกลับมาเจอกันเป็นอย่างไร"
ความคิดวิทยาศาสตร์จ๋า มาเจอกับวัฒนธรรม บางครั้งสิ่งที่ทำไม่ใช่เพื่อคนล่วงลับหรอก แต่เป็นไปเพื่อคนที่ยังอยู่
ยังมีฉากที่อาม่านั่งรอลูกหลานทุกวันอาทิตย์ แต่งตัวสวย รอเล่นไพ่นกกระจอก ไม่ได้หวังอะไรไปมากกว่านี้
อาม่าจากไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ความทรงจำ
ดอกทับทิมที่ร่วงโรย อาม่าบอกว่าที่ปลูกดอกทับทิมก็เพราะทำให้ลูกหลานแข็งแรง
ฉากที่เอ็มเกลี้ยกล่อมกู๋เคี้ยงให้ยอมใจอ่อน ลงจากรถมาดูใจอาม่าเป็นครั้งสุดท้าย เอ็มบอกว่า ที่อาม่าไม่กินเนื้อตลอดชีวิต เพราะกู๋เคี้ยงป่วย อาม่าเลยเอากู๋เคี้ยงไปฝากไว้กับเจ้าแม่กวนอิม
ฉากสรุปของเรื่องเต็มไปด้วยความรักของอาม่า ดอกทับทิมที่ร่วงหล่น คือ ชีวิตของอาม่า
ผลทับทิมที่สุกงอม คือ ความคิดของหลานเอ็ม เอ็มรู้แล้วว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร บริสุทธิ์อยู่เหนือเงินมองมรดกที่อาม่าเก็บไว้มากมาย
ความรักของอาม่า สวนทางกับชีวิตที่ไปข้างหน้าของลูกหลาน ทั้งเอ็ม กู๋เคี้ยง กู๋โสย ซิว ล้วนแล้วแต่มองไปยังจุดอื่น มองเงินตรา มองครอบครัวตนเอง แต่ลืมมองไปที่อาม่า คนแก่ชราที่นับวันจะนับถอยหลัง เหมือนข้าวสารที่กลายเป็นข้าวสุก ไม่สามารถย้อนวันคืนกลับไปเป็นข้าวสารที่สามารถยืดอายุขัยได้อีก
ในขณะที่ชีวิตหนุ่มสาวเดินไปข้างหน้า สายตามีแต่เรื่องเงิน มองครอบครัวตนเอง มองหน้าที่การงาน น้อยคนที่จะกลับมามอง "แม่" ที่เลี้ยงดูลูก ๆ มาด้วยความยากลำบาก
สิ่งที่คนแก่ต้องการมากที่สุด ก็คือเวลา
อาม่ารู้ทั้งรู้ว่าทุกคนหวังโฉนดบ้าน แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความที่เป็นลูกหลาน อย่างไรก็ยังรัก มองข้ามส่วนที่ไม่ดี มองแต่ส่วนดี ส่วนที่เคยน่ารักน่าเอ็นดู
ภาพยนต์เรื่องนี้สอนใจคน สอนให้รู้ว่าวันเวลาในชีวิตมีค่า ชีวิตเราอาจตั้งอยู่บนความประมาท แต่ชีวิตคนแก่ชรา ไม่อาจรอคอยใครได้อีก ชีวิตคนแก่ชรานับเวลาถอยหลังเป็นนาที ในขณะที่คนหนุ่มสาวนับปีที่พ้นผ่าน
เอ็มอยู่ดูแลอาม่าจนลมหายใจสุดท้าย เมื่อได้มรดกจากอาม่า เป็นเงินฝากในบัญชี เอ็มเอาไปซื้อฮวงซุ้ย คืนบ้านหลังสุดท้ายให้อาม่า
ผลสุดท้าย "ความตาย" สอนใจคนได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะกู๋เคี้ยงที่ไม่สมหวังในมรดก อยากได้มรดกมาก คิดจะทำเป็นชื่อตนตั้งแต่อาม่ายังไม่เสีย
กู๋โสยที่ไม่เคยมองเห็นอาม่าเลย ตลอดชีวิตกู๋โสยมีแต่หนี้ หนี้ และหนี้ ขโมยเงินอาม่าไปสองแสน กู๋โสยก็ยังไม่อาจจับต้องความละอายใจจนแก้นิสัยตนเองได้ อาม่าให้กู๋โสยจนลมหายใจสุดท้าย บ้านที่อาม่ารัก เงินที่อาม่ามี ให้กู๋โสยจนหมด เพราะอาม่าไม่อยากให้ลูกลำบากเป็นหนี้สิน แล้วกู๋โสยเล่า รักแต่ตัวเอง ไม่เคยให้แม้แต่ "ความหมดห่วง" คืนให้อาม่าเลย
ซิว บุตรสาว ที่เก็บงำความน้อยเนื้อต่ำใจมาโดยตลอด ปลดห่วงที่เคยผูกมัดใจ ปลดความอยากได้ในมรดก ทำใจได้แล้ว สิ่งที่เหลือคือความผูกพันกับแม่ผู้เป็นที่รัก
ในสายตาลูกทั้งสามมีสิ่งต่าง ๆ มากมาย ทั้งเงินตรา ครอบครัว จนบางครั้งมองข้ามความรักของอาม่าไป
เอ็ม ที่สุดท้ายก็ปล่อยวางความดื้อรั้น โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ทำงาน เก็บเงินตามอย่างอาม่า เอ็มไม่ได้ในมรดกที่ตนหวัง แต่ยังมีความรักความผูกพันกับอาม่า เป็นเอ็มที่ผูกพันกับอาม่าที่สุด และเป็นเอ็มที่ซื้อฮวงซุ้ยให้อาม่า เอ็มเป็นหลานชายที่ปล่อยวางความอยากได้อยากมีในมรดกของอาม่า ปล่อยวางได้เร็วที่สุด เห็นความรักที่แท้จริงกระจ่างแจ้งในนัยน์ตา
มุ่ย ที่เปิดมาต้นเรื่อง คลายจะเป็นตัวละครที่ทำงานบนผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง เอ็มถามมุ่ยว่า "ผูกพันกับอากงบ้างไหม" มุ่ยตอบว่า "วันที่อากงเสีย อากงสำลักอาหาร มุ่ยช่วยได้ ...แต่เลือกที่จะไม่ช่วย เพราะอากงทรมานมามากแล้ว"
มุ่ยแสดงให้เห็นว่า "งานสบายรายได้ดี" แท้จริงแล้ว มุ่ยทำไปเพราะรักและผูกพันกับอากง "มีหัวใจ" ในทุกการกระทำที่พูดไปว่า "หว่านพืชหวังผล"
เอ็มเป็นอิสระจากเงินตรา ไม่เอามรดกของอาม่า เอาเงินที่อาม่าให้ไปซื้อบ้านคืนให้อาม่า เป็นตัวละครที่สุกงอมทางความคิดมากที่สุด และในที่สุดลูกหลานของอาม่าก็ได้มาเจอกันที่ฮวงซุ้ยในทุก ๆ ปี ตามที่อาม่าตั้งใจ
เอ็มตั้งใจโปรยดอกไม้ เอ็มในตอนท้ายแตกต่างจากเอ็มในตอนต้น แตกต่างที่ความคิด เพราะคนเราเติบโตที่ความคิด เหมือนกับผลทับทิม ที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในเรื่อง
ดอกทับทิมร่วงหล่นแล้ว ชีวิตคนดับลงไป
สิ่งที่ยังอยู่คือความทรงจำ
อาม่ายังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของลูกหลาน
ภาพยนต์เรื่องนี้ควรค่าแก่การดูเป็นอย่างยิ่ง
ทุกฉากให้ความรู้สึกว่า นี่แหละ ชีวิตคนไทยเชื้อสายจีนที่แท้จริง เป็นแบบนี้เป๊ะ เหมือนตัวละครเข้ามานั่งอยู่ในใจเรา
ต้องดูให้ได้เลยนะคะ ภาพยนต์ชีวิต เรียกน้ำตา ลูกหลานคนจีนดูแล้ว เชื่อว่าจะต้องเห็นความสำคัญของ "เวลาชีวิต" ของคนที่บ้านค่ะ
วันนี้เจนลาไปก่อน พบกันโอกาสหน้า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านรีวิวค่ะ!
โฆษณา