16 ก.ย. เวลา 02:09 • หนังสือ

ตื่นเถอะพ่อแม่! ปฏิวัติการเลี้ยงลูกยุคดิจิทัล รู้เท่าทันภัยสมาร์ทโฟน สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา หนังสือ “The Anxious Generation: How the Great Rewiring of Childhood Is Causing an Epidemic of Mental Illness” โดย Jonathan Haidt ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของสมาร์ทโฟนและสื่อสังคมออนไลน์ต่อสุขภาพจิตของเยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Gen Z
Haidt ได้ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีชีวิตของเด็กและวัยรุ่น จากที่เคยเน้นการเล่นและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นแบบตัวต่อตัวมาสู่การใช้เวลาส่วนใหญ่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อพัฒนาการทางจิตใจและอารมณ์ของพวกเขา
จากข้อมูลการสำรวจในสหรัฐอเมริกา พบว่านับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา อัตราการรายงานภาวะซึมเศร้าในเด็กและวัยรุ่นได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยในเด็กผู้หญิงเพิ่มขึ้นถึง 145% และในเด็กผู้ชายเพิ่มขึ้นถึง 161%
นอกจากนี้ยังพบว่านักศึกษามหาวิทยาลัยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะวิตกกังวลเพิ่มขึ้น 134% ภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 106% ADHD (ภาวะสมาธิสั้น) เพิ่มขึ้น 72% และโรค Bipolar เพิ่มขึ้น 57%
ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กันคือ การเพิ่มขึ้นของพฤติกรรมทำร้ายตัวเองและการฆ่าตัวตายในกลุ่มเยาวชน โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง ที่มีการเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้นถึง 188% และอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 167% นับตั้งแต่ปี 2010
ส่วนในกลุ่มเด็กผู้ชาย แม้จะมีตัวเลขที่ต่ำกว่า แต่ก็ยังคงน่าเป็นห่วง โดยมีการเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น 48% และอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 91%
Haidt ได้วิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการแพร่หลายของสมาร์ทโฟนในช่วงปลายทศวรรษ 2000 และต้นทศวรรษ 2010
โดยในปี 2016 พบว่าวัยรุ่นถึง 79% เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน รวมถึงเด็กอายุ 8-12 ปี 28% ที่มีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง และที่น่าตกใจคือ รายงานของ Pew ในปี 2022 ระบุว่าวัยรุ่นถึง 46% บอกว่าตนเองออนไลน์แทบตลอดเวลา
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านดังต่อไปนี้:
1. การขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแบบตัวต่อตัว : นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา เวลาที่เด็กใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนแบบเห็นหน้าค่าตากันได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่เมื่ออยู่ด้วยกัน พวกเขาก็มักจะถือโทรศัพท์ไว้ในมือ ซึ่งลดคุณภาพของการมีปฏิสัมพันธ์ลง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย โดยการศึกษาหนึ่งพบว่า 62% ของเด็กอายุ 6-12 ปี รายงานว่าพ่อแม่ของพวกเขาเสียสมาธิเมื่อพวกเขาพยายามจะคุยด้วย โดยสาเหตุหลักคือการใช้สมาร์ทโฟน
2. การอดนอน : การใช้สมาร์ทโฟนในตอนดึกส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพการนอนของเด็กและวัยรุ่น งานวิจัย 36 ชิ้นสรุปว่ามีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างการใช้สมาร์ทโฟนและการอดนอนในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งการอดนอนนี้เชื่อมโยงกับระดับภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และความก้าวร้าวที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
1
3. ขาดโฟกัส : วัยรุ่นเฉลี่ยได้รับการแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนถึง 11 ครั้งต่อชั่วโมงในขณะที่ตื่นอยู่ โดยผู้ใช้งานแบบหนัก ๆ อาจได้รับการแจ้งเตือนทุกนาทีของทุกชั่วโมงที่ตื่นอยู่ การถูกรบกวนบ่อยๆ เช่นนี้ส่งผลเสียต่อความสามารถในการจดจ่อกับงานและการคิด
4. การเสพติด : สมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชันต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลให้สร้างนิสัยและทำให้เสพติดได้ โดยใช้เทคนิคทางพฤติกรรมขั้นสูง เช่น การให้รางวัล (ไลค์หรือความคิดเห็น) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้กลับมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง เด็กและวัยรุ่นที่มีสมองที่ยืดหยุ่นกว่ามีความเสี่ยงเป็นพิเศษที่จะเสพติดสิ่งเหล่านี้
Haidt ได้เสนอแนะว่า เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับโครงสร้างสังคมและในระดับครอบครัว
ในระดับโครงสร้างสังคมเสนอให้รัฐบาลดำเนินการดังนี้ :
  • ออกกฎหมายที่บังคับให้บริษัทออนไลน์ต้องปฏิบัติต่อผู้ใช้ที่เป็นผู้เยาว์ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • เพิ่มอายุของผู้ใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ตเป็น 16 ปี
สำหรับบริษัทเทคโนโลยี Haidt เสนอให้พัฒนาวิธีการยืนยันอายุที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและตัวเลือกการควบคุมของผู้ปกครอง (Parental Control) ที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับเนื้อหาดิจิทัลและการใช้อุปกรณ์ ไม่ใช่ปล่อยปะละเลย และมีช่องโหว่เหมือนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ในระดับครอบครัว Haidt แนะนำให้พ่อแม่ดำเนินการดังนี้:
สำหรับเด็กอายุ 0-5 ปี:
  • จำกัดเวลาหน้าจอให้น้อยที่สุด
  • เพิ่มโอกาสในการเล่นของเด็กอย่างอิสระ
  • ส่งเสริมการเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ที่มีช่วงอายุหลากหลาย
สำหรับเด็กวัยประถมศึกษา:
  • ส่งเสริมความเป็นอิสระของเด็ก เช่น การเดินไปโรงเรียนหรือร้านค้าในท้องถิ่นด้วยตนเอง
  • จัดสรรเวลาหลังเลิกเรียนสำหรับกิจกรรมเสริมอื่น ๆ
  • จำกัดเวลาหน้าจอไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน
  • ใช้ระบบการควบคุมโดยผู้ปกครอง (Parental Control) และตัวกรองเนื้อหาอย่างเข้มงวดในอุปกรณ์ทุกชิ้นที่บ้าน
สำหรับเด็กก่อนวัยรุ่นและวัยรุ่น:
  • ส่งเสริมการพัฒนาให้เด็กมีความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตัวเองผ่านการฝึกฝนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การให้ฝึกขี่จักรยานหรือการให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะด้วยตนเอง
  • มอบหมายความรับผิดชอบงานบ้านมากขึ้น เช่น การทำอาหาร การทำความสะอาดบ้าน
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับโลกแห่งความเป็นจริงผ่านงานพาร์ทไทม์ หรือ การเข้าค่ายกับเพื่อนๆ
1
สำหรับเด็กอายุประมาณ 16 ปี:
  • รักษากฎของครอบครัวเกี่ยวกับเวลาในการใช้มือถือ
  • ติดตามสัญญาณของการเสพติดและปัญหาสุขภาพจิตหรืออารมณ์อย่างใกล้ชิด
Haidt เน้นย้ำว่าอย่างน้อยที่สุด ความสามารถที่เด็กได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาในโลกแห่งความเป็นจริงควรเทียบเท่าหรือมากกว่าที่พวกเขาได้รับในโลกเสมือน
การสร้างสมดุลนี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เป็นอันตรายจากการใช้สมาร์ทโฟนที่มากเกินไปและช่วยให้เด็กๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีและมีความสุขมากขึ้น
แม้ว่าการใช้เทคโนโลยีจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในยุคปัจจุบันที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่การตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและการหาวิธีสร้างสมดุลระหว่างโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง พ่อแม่ ผู้ปกครอง และสังคมโดยรวมต้องร่วมมือกันในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาทางอารมณ์และสังคมของเยาวชนอย่างสมดุล
ข้อเสนอแนะจากหนังสือ “The Anxious Generation” ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความกลัวหรือปฏิเสธเทคโนโลยีโดยสิ้นเชิง แต่เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้และการคิดอย่างรอบคอบถึงวิธีที่เราใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการพัฒนาทางสมองและอารมณ์
ในขณะที่เราไม่สามารถปิดกั้นเยาวชนจากโลกดิจิทัลโดยสิ้นเชิง เราสามารถสอนพวกเขาให้ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด ส่งเสริมให้พวกเขาตระหนักถึงคุณค่าของการมีปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริง และสนับสนุนให้พวกเขาพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต
ท้ายที่สุด เราต้องไม่ลืมว่า เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ การใช้งานอย่างชาญฉลาดสามารถเพิ่มพูนศักยภาพของชีวิตและเปิดโอกาสใหม่ๆ ได้มากมาย แต่การใช้งานอย่างไม่เหมาะสมก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกัน ด้วยความเข้าใจ ความระมัดระวัง และการปรับใช้อย่างสมดุล เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตที่ดีของเด็ก ทั้งในโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างแน่นอน
References :
หนังสือ “The Anxious Generation: How the Great Rewiring of Childhood Is Causing an Epidemic of Mental Illness” โดย Jonathan Haidt
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา