Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Anontawong's Musings
•
ติดตาม
16 ก.ย. เวลา 13:54 • ความคิดเห็น
ทุกสิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา
หนึ่งในคำถามที่หลายคนกำลังแสวงหาคำตอบก็คือ "เราควรใช้ชีวิตอย่างไร?"
1
หนังสือมากมายที่เราอ่าน คลิปมากมายที่เราฟัง ก็เพื่อจะหาคำตอบให้กับคำถามนี้
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้พบว่ามีหนึ่งคำตอบที่ผมชอบเป็นพิเศษ นั่นก็คือ
ให้ระลึกไว้เสมอว่าทุกสิ่งที่เราพบเจอในชีวิตคือเรื่องมหัศจรรย์
6
และทุกอย่างที่เราต้องประสบนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
5
ฟังประโยคนี้แล้วอาจจะทำให้บางคนคิดถึงคำพูดของไอน์สไตน์:
“There are only two ways to live your life. One is as though nothing is a miracle. The other is as though everything is a miracle.”
6
ผมขอเดาเอาเองว่า ไอน์สไตน์น่าจะพูดประโยคนี้เพื่อเตือนให้เรามองให้เห็นความมหัศจรรย์รอบตัวให้มากกว่านี้ เพราะหลายครั้งเราก็หลงลืมไปว่าชีวิตนี้มันน่าทึ่งแค่ไหน
แต่ผมเชื่อว่าการมองว่าทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะถ้ามองผ่านเลนส์ของปรัชญาตะวันออกและตามหลักการของฟิสิกส์
"ทุกสิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา" ดูจะขัดกัน แต่จริงๆ แล้วมีประโยชน์ทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกใช้มุมมองไหนในบริบทใด
3
"The test of a first-rate intelligence is the ability to hold two opposing ideas in the mind at the same time, and still retain the ability to function.”
-F. Scott Fitzgerald
2
------
ทุกสิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์
ในขณะที่คุณกำลังนั่งอ่านหรือนอนไถบทความนี้ คุณคงไม่รู้สึกตัวว่าโลกกำลังหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็ว 1,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และกำลังพุ่งไปในอวกาศด้วยความเร็ว 107,226 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือเร็วกว่าลูกกระสุน 35 เท่า
11
แม้ด้วยความเร็วขนาดนั้น โลกก็ยังใช้เวลาถึง 365 วันกว่าจะโคจรรอบดวงอาทิตย์
ถ้าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แล้วดวงอาทิตย์หมุนรอบอะไร?
2
ดวงอาทิตย์หมุนรอบทางช้างเผือกครับ
4
1
ระบบสุริยะจักรวาลกำลังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว 720,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้เวลา 230 ล้านปีกว่าที่ดวงอาทิตย์จะโคจรรอบศูนย์กลางทางช้างเผือกครบ 1 รอบ
“If you ever start taking things too seriously, just remember that we are talking monkeys on an organic spaceship flying through the universe.”
-Joe Rogan
-----
ไดโนเสาร์เคยครองโลกอยู่นานถึง 200 ล้านปี จนกระทั่ง เมื่อ 66 ล้านปีที่แล้วที่มีอุกกาบาตชนโลก ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์และเปิดทางให้สัตว์สายพันธุ์อื่นๆ ได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ Homo Sapiens ด้วย
อย่าลืมว่าโลกนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 35 เท่าของลูกกระสุน หากในวันนั้น อุกกาบาตมาถึงช้าเพียงไม่กี่วินาทีก็จะไม่ชนโลก ไดโนเสาร์ก็จะไม่สูญพันธุ์ และ Homo Sapiens ก็ไม่มีทางได้อุบัติขึ้น
1
-----
การที่ตัวเราได้เกิดมาก็ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะเราเป็นสเปิร์มเพียงตัวเดียวใน 100 ล้านตัวที่เจาะรังไข่ได้สำเร็จ
ลองคิดว่าแค่พ่อแม่เราเข้าห้องนอนเร็วหรือช้ากว่านี้แค่วินาทีเดียว คนที่เกิดมาอาจจะไม่ใช่ตัวเราก็ได้
แล้วถ้าพ่อแม่เราไม่ได้เจอกัน หรือเลิกกันก่อนที่จะมีเรา เราก็จะไม่ได้เกิดมาเช่นกัน
ซึ่งไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่รวมถึงปู่ย่าตายาย ทวด เทียด และต้นตระกูลของเราทุกคน ที่ต้องได้เจอกันและได้มีลูกด้วยกันตามจังหวะวินาทีนั้นเป๊ะๆ เราถึงจะได้ลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ ถ้าห่วงโซ่ข้อใดข้อหนึ่งขาดไป ก็ไม่อาจมีตัวเราขึ้นมาได้เลย
การที่ "ตัวเรา" ได้เกิดมาจึงเป็นลูกฟลุกซ้อนลูกฟลุกนับไม่ถ้วน
------
เมื่อได้เกิดขึ้นมาแล้ว การดำรงชีวิตของเราต้องพึ่งพาคนแปลกหน้า เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้ "สร้าง" อะไร
เราไม่ได้สร้างมือถือที่ใช้อ่านบทความนี้ ไม่ได้สร้างอาหารที่เรากิน ไม่ได้สร้างเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ ไม่ได้สร้างสาธารณูปโภคที่เราใช้สอย
การผลิตไอโฟนหนึ่งเครื่องต้องใช้ดีไซน์จากอเมริกา ตัวประมวลผลจากไต้หวัน หน้าจอจากเกาหลี กล้องจากญี่ปุ่น แบตเตอรี่จากจีน และยิ่งถ้าสาวกลับไปที่วัตถุดิบที่นำมาผลิตสิ่งเหล่านี้ก็จะมีอีกหลายสิบประเทศที่เกี่ยวข้อง
1
จะกินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว เรากดแอปแป๊บเดียวก็มา โดยที่เราไม่ต้องปลูกข้าว ไม่ต้องเลี้ยงไก่ ไม่ต้องเด็ดกะเพรา ไม่ต้องจุดเตา แต่ด้วย "ระบบ" ที่คนที่มาก่อนหน้าและคนแปลกหน้าได้สร้างเอาไว้ เราจึงได้กินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวโดยไม่ต้องก้าวขาออกจากบ้าน
2
การที่ Homo Sapiens ได้เกิดขึ้นมานั้นยากแค่ไหน การที่เราได้เกิดมานั้นยากแค่ไหน การที่มนุษย์เราจะพัฒนาระบบจนทุกอย่างแสนง่ายดายนั้นยากแค่ไหน หากเราระลึกได้ถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ เราย่อมเกิดความรู้สึกขอบคุณและรู้สึกว่าการได้มีชีวิตในยุคนี้นับเป็นความโชคดีอย่างเหลือเชื่อ
4
-----
ในมุมกลับกัน ทุกอย่างก็เป็นเรื่องธรรมดา
สามเดือนก่อนปรินิพพาน หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ปลงมายุสังขาร ท่านได้ตรัสกับพระอานนท์ที่กำลังเศร้าโศกเสียใจว่า
1
"อานนท์ เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือว่า บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดา หลีกเลี่ยงไม่ได้ อานนท์เอย ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งทั้งหลายมีความแตกไป ดับไป สลายไปเป็นธรรมดา จะปรารถนามิให้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้นเป็นฐานะที่ไม่พึงหวังได้ ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป เคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวอยู่ทุกขณะ"
7
คำว่า "ทุกขัง" ในไตรลักษณ์นั้นมีความหมายว่า "ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก"
6
ซึ่งสอดคล้องกับกฎข้อที่สองของ thermodynamics ที่ระบุว่ากระบวนการทางธรรมชาติทั้งหมดจะดำเนินไปในทิศทางที่เอนโทรปีของระบบรวมกับสภาพแวดล้อมจะเพิ่มขึ้น หรืออย่างน้อยก็ต้องคงที่
เอนโทรปีคือค่าวัดความเป็นระเบียบของระบบ ยิ่งมีระเบียบเอนโทรปียิ่งต่ำ ยิ่งไร้ระเบียบเอนโทรปียิ่งสูง
1
ทิศทางหลักของจักรวาลนั้นเอนโทรปีจะสูงขึ้นเสมอ
ตัวอย่างเช่น น้ำแข็งที่อยู่ในอุณหภูมิห้องนั้นย่อมละลาย แก้วใบหนึ่งนานวันไปย่อมแตกสลาย โอกาสที่เราจะเห็นน้ำกลายเป็นน้ำแข็งในอุณหภูมิห้อง หรือแก้วที่แตกไปแล้วกลับมารวมเป็นแก้วอีกครั้งตามธรรมชาตินั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
1
การ "รวมตัวกันอย่างมีระเบียบ" อย่างน้ำแข็ง แก้วน้ำ หรือแม้กระทั่งร่างกายคนเรา จึงเป็นเรื่องที่ฝืนทิศทางของจักรวาล มันจึงไม่มีวันคงอยู่ได้นานเพราะถูกทุกขังบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
2
พูดถึงแก้ว ผมก็นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากจากหนังสือ Master of Change ของ Brad Stulberg
เป็นเรื่องเล่าของหลวงปู่ชา ที่วันหนึ่งท่านยกแก้วใบโปรดขึ้นมาต่อหน้าลูกศิษย์แล้วกล่าวว่า
“เห็นแก้วใบนี้ไหม สำหรับเรา แก้วใบนี้มันแตกอยู่แล้ว เราเพลิดเพลินไปกับมัน เราดื่มน้ำจากแก้วใบนี้ มันเก็บน้ำได้เป็นอย่างดี บางทีก็สะท้อนแสงแวววับจับตา ถ้าเราดีดแก้วเบาๆ มันก็ส่งเสียงเพราะเสนาะหู
แต่ถ้าเราวางมันไว้บนชั้น แล้วลมพัดมันตกลงมา หรือถ้าเราวางมันไว้บนโต๊ะแล้วข้อศอกของเราไปโดนจนมันตกพื้นแตกละเอียด เราย่อมพูดว่า ‘ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว’
เมื่อเราเข้าใจว่าแก้วมันแตกอยู่แล้ว ทุกชั่วขณะที่เราได้อยู่กับแก้วใบนี้ย่อมมีความหมาย”
5
-----
เราทุกคนอยากเป็นคนพิเศษ
เราเข้าใจดีว่า เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน แต่เราก็อดหวังไม่ได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับเรา เพราะเราก็ยังเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าเรามีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น
8
พอเราเชื่อว่าเราพิเศษกว่าคนอื่น เมื่อเจอเรื่องธรรมดาอย่างการพลัดพราก เราจึงทุกข์ทรมานเป็นพิเศษเช่นกัน
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราละทิ้งความเชื่อว่าเราเป็นคนพิเศษนี้ได้ และยอมรับว่าเราเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เราก็จะเข้าใจและทำใจได้เร็วขึ้นเมื่อถึงวันที่เราต้องประสบกับสิ่งที่เราไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความพลัดพราก หรือความสูญเสีย
เราคือคนธรรมดา และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะจักรวาลนั้นมุ่งไปในทางทิศทางนี้ เราไม่อาจต้านหรือฝืนมันได้เลย
6
-----
กลับมาตอบคำถามที่ว่า "เราควรใช้ชีวิตอย่างไร"
ผมคิดว่าในชีวิตปกติ หากเราระลึกได้ว่าการได้เกิดขึ้นมาและดำรงอยู่นั้นเป็นเรื่องโชคดีขนาดไหน เราก็น่าจะใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยความรู้สึกขอบคุณและไม่มานั่งเสียอารมณ์กับเรื่องยิบย่อย
3
และเมื่อถึงวันที่มัน "ไม่ปกติ" วันที่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับตัว หากเราระลึกได้ว่า "แก้วมันแตกอยู่แล้ว" สิ่งที่เกิดคือเรื่องธรรมดาและไม่ได้เกิดกับเราแค่คนเดียว เราก็น่าจะมีสติมากพอที่จะรับมือกับมัน
3
เพราะทุกสิ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์
1
เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาครับ
1
117 บันทึก
99
5
122
117
99
5
122
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย