16 ก.ย. เวลา 15:29 • ปรัชญา
เมตตาเขาเถิด เขากำลังเรียนรู้
เพราะ ใน อรรถะนี้ จะว่าถูกต้องก็ได้ จะว่าผิดก็ได้ มันซ้อนทับกัน อยู่ที่ว่าจะยกสัจจะไหนมาพิจารณา
ในธรรมชาติ แท้จริงแล้วมีความจริงหลายระดับหลากความประณีต..
แบ่งได้ใหญ่ๆ 3 สัจจะ
1. สัจจะเท็จ :
เป็นเพียงความคิดเห็น ไม่ตรงตามความเป็นจริงในธรรมชาติ เป็นเพียงขยะข้อมูล
ถ้าเขามองว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน เป็นเพียงเรื่องแต่ง
ก็เข้ากรณีนี้ เพราะที่เขาพูด ผิดจริง (เพราะไม่ใช่เรื่องแต่ง)
2. สัจจะเทียม (สมมติสัจจะ) :
คลองแห่งภาษาทั้งปวงก็ดี
คลองแห่งการบัญญัติทั้งปวงก็ดี
คลองแห่งระบบ ระบอบ ทั้งปวงก็ดี
คลองแห่ง ระบบการศึกษา วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ ก็ดี
ทั้งหมดนี้ ก็สักแต่ว่าเป็น สมมติสัจจะ .. เป็นจริงก็แต่ช่วงเวลาที่มีการนิยาม มีการบัญญัติ สิ่งนั้นๆ เมื่อหมดวาระแห่งการบัญญัติ สัจจะชุดนั้นๆก็จะอันตรธานหายไป..
ถ้าเขามองว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัส เป็นความจริงระดับนี้
ก็เข้ากรณีนี้ ก็ถูกต้อง เพราะสิ่งที่ท่านตรัสเกิดจากการบัญญัติภาษาขึ้นมา ใช้อธิบายความจริง
3. สัจจะนิรันดร์ (ปรมัตถ์สัจจะ) :
รูป (อนุภาคและพลังงานทั้งปวง) ก็ดี
จิต (วิญญาณขันธ์) ก็ดี
เจตสิก (เวทนา, สัญญา, สังคาร) ก็ดี
นิพพาน (ธรรมชาติที่ไม่เกิดปรากฎ) ก็ดี
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ก็สักแต่ว่า เป็น “ตถตา” คือ ความเป็นเช่นนั้นเอง
ไม่ว่าใครคิดหรือไม่ ก็ดี
บัญญัติหรือไม่ ก็ดี
ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ก็ดี
ก็ไม่ได้กระทบอะไรกับสัจจะ(พระธรรม) ระดับนี้เลยเลย เพราะ มันก็มีอยู่แล้ว ไม่ขึ้นกับกาลเวลาและสถานที่ เป็น อกาลิโก
เป็น ธัมมัฏฐิตา คือ ความตั้งอยู่แห่งธรรมดา (ปรมัตถ์สัจจะ)
เป็น ธรรมนิยามตา คือ กฎตายตัวแห่งธรรมดา (ไตรลักษณ์)
เป็น อิทีปปัจจัยตา คือ ความเมื่อสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงมีขึ้น เป็นธรรมดา (ปฏิจจสมุปบาท)
แต่ ที่เขาพูดจะผิดจากกรณีนี้ ทันที แน่นอน และ ตลอดกาลเวลา
เพราะแท้ที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ ตรัสสอนสัจจะระดับนี้
ดังนี้เอง
โฆษณา