19 ก.ย. เวลา 08:51 • ความคิดเห็น

จง รับ ฟัง

เมื่อตอนที่ผมกำลังเป็นดาวรุ่งที่เด่นมากๆ เติบโตอย่างรวดเร็วที่ดีแทค มีแต่คนยกยอ ผลงานก็ดีเลิศ เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหาร ในจังหวะนั้นมีการประเมินผลงาน ผมเองมั่นใจมากๆ ว่าจะได้เอบวกแน่ ไม่เห็นมุมไหนที่จะไม่ได้เลยด้วยผลงานในช่วงนั้น
คุณซิกเว่ เบรกเก้ ซีอีโอดีแทคในตอนนั้นซึ่งเปรียบเสมือนโค้ชที่หวังดีและเป็นเจ้านายตรงผมด้วย เรียกผมเข้าไปพบพร้อมบอกว่าผมได้เกรด B ซึ่งชอคกับความรู้สึกผมมากก่อนที่จะอธิบายว่า ผมเองนั้นมีผลงานดีมาก แต่พอรับตำแหน่งใหม่ที่เริ่มมีบทบาทสำคัญ มีอิทธิพลต่อคนจำนวนมากขึ้น แต่ผมพูดมากเกินไป ใจร้อนเกินไป หูดับ ไม่รับฟังคนเหมือนเดิม
2
ถ้ายูจะเติบโตเป็นผู้นำที่ดีต่อไป ยูต้องฟังให้มากขึ้นกว่านี้...
4
ซิกเว่สอนบทเรียนที่สำคัญที่สุดบทเรียนหนึ่งในชีวิตให้ผมในตอนนั้นที่จำจนวันนี้
ผมเพิ่งได้ฟังน้องบอล ธนธัส เจ้าของแบรนด์ skin care อย่าง gravich และ Plantnery ที่กำลังขายดีและโด่งดังในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ มาเล่าให้หลักสูตร Aloha ถึงจุดเริ่มต้นที่อย่างน่าสนใจ เพราะน้องบอลเริ่มจากเด็กหนุ่มที่มีแต่ความฝัน เคยเป็นลูกจ้างทำงานในโรงงาน OEM รับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ต่างๆ และเห็นโอกาสในการทำเครื่องสำอางค์ในแบรนด์ตัวเองแต่เถ้าแก่ไม่เห็นด้วย บอลก็เลยออกจากงานมาพยายามทำเอง
2
บอลเล่าว่าตอนออกมา สมบัติที่เขามีติดตัวชิ้นเดียว ซึ่งฟังแล้วผมเองก็ไม่เคยคิดว่าเป็นสมบัติได้ก็คือ สลิปเงินเดือนสามหมื่นบาท ที่บอลบอกว่าเป็นสมบัตินั้นก็เพราะบอลพยายามจะหาเงินทุนเริ่มโรงงานเล็กๆทำสินค้าของตัวเองด้วยการไปพยายามหานักลงทุน ไปหยิบยืมญาติ เพื่อนฝูง แต่ไม่มีใครให้เงิน หลายคนแทบจะไม่ได้ฟังด้วยซ้ำ บอลก็เลยใช้สลิปเงินเดือนไปออกบัตรเครดิตจากธนาคารต่างๆมาแปดใบ แล้วใช้วงเงินหลายแสนนั้นเป็นตัวเริ่มในการลงทุนโรงงาน
2
สลิปเงินเดือนจึงเป็นสมบัติของบอลเมื่อมองย้อนกลับไปในวันนั้นจริงๆ
1
บอลเล่าว่า ตอนที่ก่อร่างสร้างตัว การหมุนเงินกับบัตรเครดิตแปดใบนั้นสนุกและท้าทายมาก เพราะต้องจ่ายขั้นต่ำบางบัตร ขอยืดจ่ายบางบัตร เอาบัตรโน้นมาจ่ายบัตรนี้เพื่อที่จะหมุนเงินให้ทันและให้พอที่จะลงทุนและไปขายของมาจ่ายคืน ชีวิตของบอลพอเริ่มก็ต้องผจญภัยเยอะมากที่จะทำให้ได้ตามฝัน เพราะเริ่มโรงงานได้ซักพักก็เจอโควิด หนีไปผลิตเจลแอลกอฮอล์ได้ตังก็มาลุยต่อ เจอวิกฤติพนักงานโรงงานติดโควิดจนเกือบเจ๊งก็เคย แต่ก็รอดมาได้และเติบใหญ่ในปัจจุบัน
บอลเล่าถึงเรื่องราวที่เขายึดถือเป็นเข็มทิศนำทางเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องเล่าของเรื่องราวของประธานบริษัทซัมซุงที่เป็นคนพลิกฟื้นซัมซุงจนกลายเป็นบริษัทระดับโลก เรื่องเล่ามีอยู่ว่า ประธานคนนี้ได้รับเศษกระดาษมาจากพ่อที่มอบให้ก่อนเสียชีวิต ถ้อยคำในกระดาษนั้นไม่ได้มีข้อความสั่งเสียอะไรยาวเหยียด มีแค่คำสามคำที่เขียนเป็นภาษาเกาหลีที่แปลได้ว่า “ จง รับ ฟัง”
1
บอลบอกว่าทุกวันนี้เขาเองก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จตามที่ใจหวัง ยังต้องเดินทางอีกไกล แต่สิ่งที่เขาทำมาตลอดก็คือการพยายามรับฟังทุกคน โดยเฉพาะลูกน้องที่ทำงานด้วยกันด้วยความตั้งใจทุกคำพูด เพราะว่าตอนที่เขาลำบาก พยายามหาสตางค์มาลงทุน พยายามไปพูด ไปคุย ไปเล่า หลายคนปฏิเสธแม้แต่ที่จะรับฟัง เขาก็เลยตั้งใจไว้ว่าเขาจะฟังทุกคนอย่างตั้งใจเพราะจะได้ไม่พลาดรายละเอียดเล็กๆน้อย หรือเรื่องราวที่สำคัญแม้แต่นิดเดียว
4
ซึ่งถ้ามองบอลในวันนี้ ผมคิดว่านอกจากสลิปเงินเดือนที่เคยเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ทำให้บอลรอดมาจนวันนี้ บอลก็น่าจะเจอสมบัติที่สำคัญชิ้นใหม่ของบอลในการเติบโตตามความฝันของบอลต่อไปแล้วแน่ๆ เพราะนอกจากจะนำมาซึ่งการได้ใจของน้องๆ แล้ว ก็ยังจะทำให้บอลเปิดใจและเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ได้อีกมาก...
1
“ จง รับ ฟัง” คือสมบัติชิ้นสำคัญในวันนี้ของบอลที่ผมคิดว่าใครๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของได้
ถ้าตั้งใจฟังนะครับ
โฆษณา