เพราะต้องอาศัยความร่วมมือและความเข้าใจระหว่างกัน โดยเฉพาะเมื่อ Agatha ต้องร่วมมือกับอริเก่าอย่าง Rio Vadal แม่มดวายร้ายที่เคยขัดแย้งกันมาก่อน
หรือ Jennifer Kale แม่มดที่ใช้เวทมนตร์เพื่อแสวงหากำไร และ Alice Wu-Gulliver ลูกสาวของร็อคสตาร์ชื่อดังผู้ไม่เห็นด้วยกับทุกสิ่ง และคอยตั้งแง่กับ Agatha อยู่ตลอดเวลา รวมถึงตัวละครสำคัญอื่น ๆ เช่น Lilia Calderu แม่มดที่สูญเสียความสามารถในการมองเห็นอนาคต และ Mrs. Hart ชาวเมือง Westview ที่เคยมีบทบาทใน “WandaVision” นอกจากนี้ ยังมี Teen หนุ่มลึกลับที่ไม่มีใครรู้จักที่มาและเป้าหมายที่แท้จริง แต่กลับมีบทบาทสำคัญในการเดินทางครั้งนี้
ไฮไลท์ของ Agatha All Along คงหนีไม่พ้นเรื่องเคมีของตัวละครที่โคจรรอบ Kathryn Hahn ในบท Agatha Harkness โดยผู้ชมจะได้พบกับแม่มดในจักรวาลนี้อีกมากมาย ที่ล้วนแล้วต่างมีเป้าหมายของตนเอง ความฮาจึงบังเกิดเมื่อก๊วนแม่มดไร้กลุ่มที่นิสัยไม่เข้ากันนี้ต้องจำใจร่วมผจญภัยไปกับ Agatha ผู้ซึ่งคุ้นชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด
Agatha All Along
ดีไซน์ฉากอลังการสมจริงแบบไม่พึ่ง CGI
ความ “สมจริง” ของฉากใน Agatha All Along ได้สร้างความประหลาดใจที่น่าจับตามอง เมื่อ Mary Livanos โปรดิวเซอร์ของซีรีส์เรื่องนี้ ผู้นำทีมคว้ารางวัล Outstanding Production Design for a Narrative Program (Half-Hour) ของเวที Emmy Awards 2021 จาก “WandaVision” มาแล้ว เผยว่า แต่ละฉากใน Agatha All Along แทบจะใช้เทคนิควิชวลเอฟเฟกต์เป็นศูนย์
“เรามองว่าการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างโลกแฟนตาซีกับโลกความจริงค่อนข้างสำคัญสำหรับนักแสดงและทีมงานมาก โดยจากซีรีส์ของ “WandaVision” ก่อนหน้านี้ที่เราตั้งใจพาผู้ชมกลับไปยังยุคทองของรายการโทรทัศน์ซิตคอม สำหรับ Agatha All Along เราจึงตั้งใจพาทั้งนักแสดงและผู้ชมกลับไปยังยุคทองของการสร้างหนังแฟนตาซีในยุค 1989 เช่นเดียวกัน”