23 ก.ย. เวลา 12:08 • ประวัติศาสตร์

“การแบ่งแยก“ และ ”ความไม่เท่าเทียม” สองสิ่งที่ทำให้จักรวรรดิสเปนล่มสลาย

“จักรวรรดิสเปน (Spanish Empire)” คือจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ในอดีต
ในช่วงที่รุ่งเรืองสุดขีดเมื่อราวต้นศตวรรษที่ 17 สเปนนั้นครอบครองอำนาจเกือบทั้งหมดในแถบแคริบเบียน อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ อเมริกากลาง โปรตุเกส และฟิลิปปินส์
5
“ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค (House of Habsburg)” ซึ่งปกครองสเปน ก็ได้ครอบครองที่ดินจำนวนมากในยุโรป ซึ่งรวมถึงเบลเยี่ยม ซิซิลี และเนเปิลส์
ความยิ่งใหญ่ของสเปนเริ่มขึ้นในปีค.ศ.1492 (พ.ศ.2035) เมื่อ “คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)” นักเดินเรือชาวอิตาลี ได้เดินทางไปสำรวจอเมริกา
2
ในปีเดียวกันนั้น สองพระประมุขแห่งสเปนอย่าง “สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 1 แห่งคาสติลล์ (Isabella I of Castile)“ และ ”พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอน (Ferdinand II of Aragon)“ ได้ทรงออก “พระราชกฤษฎีกาอาลัมบรา (Alhambra decree)” ซึ่งมีคำสั่งให้เนรเทศชาวยิวทั้งหมดออกไปจากสเปน
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)
พระราชกฤษฎีกานี้ทำให้ประชากรระดับมันสมองหลายคนต้องออกไปจากสเปน มีชาวยิวกว่า 40,000 คนออกจากสเปน และอพยพไปยังจักรวรรดิอ็อตโตมัน เนเธอร์แลนด์ และอีกหลายๆ ที่ ทำให้เกิดภาวะสมองไหลในสเปน
3
อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่เกิดจากพระราชกฤษฎีกานี้ นั่นก็คือสเปนขาดแคลนระบบการเงินการธนาคารที่ทันสมัย ทำให้ราชสำนักสเปนต้องขอกู้ยืมเงินจากนายธนาคารต่างชาติ ทำให้ผลประโยชน์ที่สเปนกอบโกยได้จากดินแดนที่สเปนออกสำรวจและยึดครอง กลับต้องนำมาจ่ายหนี้ให้แก่เหล่านายธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้
1
เรียกได้ว่า ถึงแม้ว่าสเปนจะมีเหมืองทองคำและแร่เงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็แทบจะไม่สามารถหาเงินทุนมาสนับสนุนและบำรุงกองทัพของตนได้
1
สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 1 แห่งคาสติลล์ (Isabella I of Castile) และ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอน (Ferdinand II of Aragon)
นอกจากนั้น สเปนยังไม่มีการพัฒนาระบอบทุนนิยมในประเทศ ไม่มีตลาดหุ้นหรือบริษัทใหญ่ๆ ที่ดูแลผลประโยชน์ของชาติ ทำให้ถึงแม้ว่าสเปนจะเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในโลก หากแต่ก็ด้อยพัฒนาในทางเศรษฐกิจ
2
และไม่เพียงแค่ชาวยิวเท่านั้น ระหว่างค.ศ.1609-1614 (พ.ศ.2152-2157) ราชสำนักสเปนยังสั่งเนรเทศชาวมุสลิมในสเปนอีก ซึ่งประชากรเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นประชากรหัวกะทิที่มีความรู้ความสามารถ
1
คริสตจักรในสเปนยังก่อตั้งหน่วยตำรวจลับที่ทำหน้าที่ไล่ล่าชาวยิวและชาวมุสลิมที่ปลอมตัวเป็นชาวคริสต์ มีคนจำนวนมากถูกสังหารเพียงเพราะว่ามีบรรพบุรุษเป็นชาวยิวและชาวมุสลิม
1
เรียกได้ว่าในสมัยศตวรรษที่ 16 สเปนนั้นไม่ได้พัฒนาเทียบเท่ากับเพื่อนบ้าน ในขณะที่สมัยศตวรรษที่ 17 ฝรั่งเศส อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ต่างก็สามารถควบคุมเศรษฐกิจในแถบแคริบเบียนได้มากมาย อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการตั้งอาณานิคมในอเมริกาเหนือ
สำหรับเรื่องของศาสนานั้น ในสมัยศตวรรษที่ 16 เนเธอร์แลนด์เป็นดินแดนของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค
1
หากแต่พระประมุขอย่าง “พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน (Philip 2 of Spain)” ก็ทรงขับไล่เนเธอร์แลนด์ออกจากจักรวรรดิ เหตุผลก็เนื่องจากการที่ไม่ทรงยอมรับนิกายอื่นที่ไม่ใช่คาทอลิก
1
เหตุการณ์นี้นำไปสู่การปฏิวัติในปีค.ศ.1566 (พ.ศ.2109) รวมถึงการก่อตั้ง “สาธารณรัฐดัตช์ (Dutch Republic)” ในปีค.ศ.1588 (พ.ศ.2131)
1
พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน (Philip 2 of Spain)
ผลที่ตามมาก็คือ “สงครามแปดสิบปี (Eighty Years' War)” ซึ่งผลาญทรัพยากรของจักรวรรดิสเปนไปเป็นอันมาก ในขณะที่ฝ่ายสาธารณรัฐดัตช์นั้นร่ำรวยขึ้นกว่าเดิมมาก
1
พวกดัตช์ได้ก่อตั้งอาณานิคมของตนและก่อตั้งตลาดหุ้นแห่งแรกของโลก และกรุงอัมสเตอร์ดัมก็กลายเป็นศูนย์กลางการธนาคารของยุโรป สกุลเงินกิลเดอร์ดัตช์ ก็กลายเป็นสกุลเงินที่เป็นที่เชื่อถือในยุโรป
1
พระเจ้าฟิลิปที่ 2 และพระประมุของค์ต่อๆ มา ต่างสูญเสียผลประโยชน์และอำนาจในดินแดนที่น่าจะสร้างผลกำไรมหาศาลก็เพราะความใจแคบและไม่ยอมรับความต่างทางศาสนา อีกทั้งยังสูญเสียอำนาจทางการเงิน ทำให้กษัตริย์แห่งสเปนไม่สามารถกู้ยืมเงินมาใช้บำรุงกองทัพได้อีก
1
ค.ศ.1648 (พ.ศ.2191) สเปนยินยอมที่จะยอมรับเอกราชของสาธารณรัฐดัตช์
อีกหนึ่งผลลัพธ์ของการแบ่งแยกนี้ก็คือความล้าหลังของอาณานิคมสเปนและฟิลิปปินส์ เนื่องจากชาวโปรเตสแตนท์ ชาวยิว และชาวมุสลิมไม่สามารถอาศัยอยู่ในอาณานิคมสเปนได้ ดังนั้นจึงไม่เกิดการพัฒนา
1
ในขณะที่นายธนาคารชาวดัตช์และชาวยิว ชาวไร่ชาวเยอรมัน พ่อค้าชาวอังกฤษ และอีกหลายๆ อาชีพในชาติยุโรปอื่นๆ ต่างสามารถสร้างเศรษฐกิจของชาติให้เข้มแข็งได้ ก็ไม่ได้รับการยอมรับให้เข้ามายังดินแดนแถบละตินอเมริกา การพัฒนาจึงไม่เกิด
แต่สาเหตุที่ทำให้จักรวรรดิสเปนล่มสลายจริงๆ นั้น มาจาก “ความไม่เท่าเทียม”
ในช่วงศตวรรษที่ 17 และศตวรรษที่ 18 กลุ่มชนชั้นสูงที่พูดภาษาสเปน ก็ได้เข้ามาลงหลักปักฐานยังเม็กซิโก อเมริกาใต้ และอเมริกากลาง
ชนกลุ่มนี้คือชาวครีโอที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และส่วนใหญ่ก็มีบรรพบุรุษเป็นชาวสเปน หากแต่ราชสำนักสเปนกลับขัดขวางไม่ให้ชาวครีโอได้ขึ้นดำรงตำแหน่งระดับสูงในมาดริดและรัฐบาลอาณานิคม
2
ขาวครีโอมองว่าตนนั้นคือชาวสเปนคนหนึ่ง หากแต่รัฐบาลสเปนมองว่าชาวครีโอเป็นเพียงชาวอาณานิคมธรรมดา ไม่คู่ควรกับตน และทำให้ชาวครีโอตระหนักดีว่าพวกตนนั้นไม่มีทางจะได้สัญชาติสเปนอย่างแท้จริง
2
ในปีค.ศ.1808 (พ.ศ.2351) “นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte)” ประมุขแห่งฝรั่งเศส ได้ปลดกษัตริย์สเปนและแต่งตั้งน้องชายของตนให้ดำรงตำแหน่งแทน ในขณะเดียวกัน กลุ่มครีโอที่ยึดอำนาจการปกครองก็เข้าตั้งรัฐบาลสเปนในอาณานิคม
1
นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte)
พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 ทรงพยายามจะกอบกู้จักรวรรดิสเปนอีกครั้งในปีค.ศ.1814 (พ.ศ.2357) หากแต่พระองค์ก็ทรงต้องพบเจอกับสงครามจากกลุ่มปฏิวัติอเมริกัน
ภายในปีค.ศ.1833 (พ.ศ.2376) อาณานิคมสเปนบนแผ่นดินอเมริกาทั้งหมดล้วนแต่ได้รับเอกราชหรือไม่ก็ถูกสหรัฐอเมริกายึดครองไปจนหมด และการปฏิวัติในดินแดนต่างๆ ก็ทำให้จักรวรรดิสเปนเหลืออาณานิคมเพียงแค่คิวบา เปอร์โตริโก ฟิลิปปินส์ และเกาะเล็กๆ เพียงไม่กี่แห่ง
1
ค.ศ.1898 (พ.ศ.2441) สหรัฐอเมริกาเข้ายึดครองเปอร์โตริโก ฟิลิปปินส์ และเกาะกวม นอกจากนั้น ยังทำให้คิวบากลายเป็นรัฐบริวารของสหรัฐอเมริกา
1
การกดขี่และไม่ยอมรับชาวครีโอ บวกกับความพยายามของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 ที่จะกอบกู้อาณานิคมสเปนให้เป็นดินแดนคาทอลิกอย่างสมบูรณ์ ล้วนแต่ทำให้เกิดการปฏิวัติและทำลายจักรวรรดิสเปน
อาจจะด้วยสองสาเหตุข้างต้นนี้ จึงทำให้จักรวรรดิที่เคยยิ่งใหญ่อย่างสเปน ต้องล่มสลายกลายเป็นรองชาติอื่นทั้งๆ ที่มีทุกอย่างในมือพร้อม
บางทีเรื่องราวนี้อาจจะเป็นบทเรียนที่ยังสามารถนำมาปรับใช้ได้จนปัจจุบัน
โฆษณา