23 ก.ย. เวลา 05:44 • การเมือง

อย่าประมาททรัมป์ - Blockdit Originals โดย ดร. อาร์ม ตั้งนิรันดร

สี่ปีที่แล้ว ในขณะที่ทุกสำนักโพลก่อนเลือกตั้งชี้ว่า คะแนนไบเดนนำทรัมป์ห่างแบบขาดลอย ผมเตือนทุกคนว่าอย่าประมาททรัมป์ สุดท้ายผมผิด เพราะไบเดนชนะการเลือกตั้ง
3
แต่ไบเดนชนะครั้งนั้นแบบฉิวเฉียดผิดจากที่โพลคาดว่าจะชนะขาดลอย รอบนี้ผมเลยขอเตือนซ้ำอีกครั้งแบบจริงจังกว่าเดิมว่า อย่าได้ประมาททรัมป์เป็นอันขาด เพราะแม้โพลตอนนี้จะบอกว่าแฮร์ริสมีคะแนนนำ แต่เธอนำในผลโพลน้อยกว่าตอนที่ไบเดนและคลินตันนำทรัมป์เสียอีก
2
ขนาดไบเดนนำห่างขาดลอยในโพล แต่ของจริงยังชนะเพียงฉิวเฉียด ส่วนคลินตันที่ตอนนั้นนำในโพลก็นำมากกว่าที่แฮร์ริสนำทรัมป์ในตอนนี้เสียอีก แต่คลินตันเองก็ยังพ่ายแพ้ให้กับทรัมป์ดังที่เราทราบกัน
1
จากสถิติการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ในการเลือกตั้งจริง ทรัมป์ทำคะแนนได้ดีกว่าผลโพลในปี 2016 ถึง 2.2% และในปี 2020 ถึง 3.3% เพราะทรัมป์มีคะแนนเงียบจากฐานเสียงรากหญ้าในชนบทซ่อนอยู่ ซึ่งโพลสำรวจไปไม่ถึง
ปัจจัยสำคัญที่สุดสองปัจจัยที่ช่วยทรัมป์ ปัจจัยแรกคือปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ถ้าใครสังเกตการหาเสียงของทรัมป์ จะย้ำเน้นเรื่องนี้ทุกครั้งว่าในยุคไบเดน ข้าวของในซูเปอร์มาร์เก็ตและราคาค่าเช่าบ้านแพงขึ้นถึง 30% แล้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนอเมริกันทุกคนรู้สึกได้ และเป็นสาเหตุที่อเมริกาตอนนี้เกิดภาวะประหลาดที่เรียกว่า "vibecession" เพราะถึงแม้เศรษฐกิจอเมริกาจะแข็งแกร่งและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อเมริกาหลีกเลี่ยงการเกิด recession ในยุคที่ธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ย แต่ผลโพลสำรวจความรู้สึกชาวอเมริกันต่อภาวะเศรษฐกิจกลับพบว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไม่ดี ข้าวยากหมากแพง เสียงส่วนใหญ่มองว่าในยุคของทรัมป์เศรษฐกิจดีกว่า
3
ถ้าคุณเป็นคนรวยใน Wall Street หรือ Silicon Valley คุณคงไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายกับเงินเฟ้อ เพราะเงินเดือนคุณก็ปรับสูงขึ้นและหุ้นสหรัฐฯ ก็ทำ new high มาตลอด แต่ถ้าคุณเป็นประชาชนอเมริกันทั่วไปที่หาเช้ากินค่ำ คุณย่อมรู้สึกได้แน่นอนถึงความยากลำบาก เมื่อรายได้เท่าเดิม แต่ของรอบตัวแพงขึ้นทั้งแผ่นดิน
เรียกว่าในยุคไบเดน ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสหรัฐฯ หนักขึ้นกว่าเดิม นี่ยังใม่นับปัญหาเรื่องการไหลทะลักของผู้อพยพจากประเทศข้างเคียง จากนโยบายเรื่องผู้อพยพที่ล้มเหลวของเดโมแครต และยังไม่นับเรื่องภัยสงครามทั่วโลก ทรัมป์เวลาหาเสียงก็จะพูดวนอยู่สามเรื่องนี้ ว่าในสมัยของเขาดีกว่านี้ทั้งสามเรื่อง
ส่วนแฮร์ริสเน้นหาเสียงเรื่องจิตวิญญาณความเป็นอเมริกัน และความไม่เหมาะสมที่จะให้คนคุณสมบัติอย่างทรัมป์ (ที่ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง พูดจาเหลวไหล และไม่มีความเป็นสุภาพชน) ขึ้นมาเป็นผู้นำโลกเสรี กับหาเสียงในเรื่องสิทธิในการทำแท้งของผู้หญิงที่ศาลสูงสหรัฐฯ ที่แต่งตั้งโดยทรัมป์กลับแนวคำพิพากษาในอดีต
1
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องในเชิงวัฒนธรรมและอุดมการณ์ ไม่ใช่เรื่องปากท้อง ซึ่งอาจได้ใจกลุ่มคนอเมริกันที่มีการศึกษาและรายได้ดีที่ไม่ต้องสนใจเรื่องปากท้อง แต่สำหรับคนอเมริกันที่ปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ พวกเขาอาจไม่แคร์เท่าไหร่ว่าจะทรัมป์จะสุภาพไม่สุภาพ แถมยังสะใจด้วยซ้ำว่าทรัมป์กำลังเล่นบทต่อสู้กับชนชั้นนำที่ดูถูกและเอาเปรียบพวกเขามาตลอด
2
อีกหนึ่งปัจจัยที่เราไม่ควรประมาททรัมป์ ก็คือพลังของโซเชียลมีเดีย หากเราเสพข่าวจากสื่ออเมริกันกระแสหลัก เราจะรู้สึกว่าทรัมป์แพ้แน่ เพราะทุกสื่อบอกว่า คะแนนแฮร์ริสดีวันดีคืน เธอชนะดีเบทขาดลอย และพรรคเดโมแครตสามัคคีแน่นแฟ้นและตื่นเต้นกับการสร้างประวัติศาสตร์การมีประธานาธิบดีผู้หญิงผิวสีคนแรก
แต่หากใครอยู่ในโลกของโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ จะเหมือนอยู่ในโลกคู่ขนานที่ถูกใจที่ทรัมป์เป็นทรัมป์ เป็นตัวของตัวเองเสมอต้นเสมอปลาย (เรียกว่ามีความ authentic ไม่ใช่พูดจาสวยหรูเพื่อหวังคะแนน) และกำลังต่อสู้กับชนชั้นนำเพื่อพวกเขา
มีนักวิเคราะห์พบว่ายอดวิวในโซเชียลของคลิปหาเสียงของทรัมป์มีปริมาณผู้ชมสูงกว่าของแฮร์ริสเยอะมาก ดังนั้นต้องระวังว่า ข่าวหรือกระแสที่ได้รับจากสื่อกระแสหลักของอเมริกาอาจไม่ได้สะท้อนพลังของฐานเสียงรากหญ้าชาวชนบทของทรัมป์
ทั้งหมดนี้จึงต้องสรุปว่า ประมาททรัมป์ไม่ใด้เด็ดขาด และที่สำคัญกว่านั้น อย่าประมาทด้วยว่าทรัมป์ 2.0 จะเหมือนกับทรัมป์ 1.0 เพราะทรัมป์ 2.0 จะแรงกว่าเดิมมาก เพราะทรัมป์ไม่ต้องแคร์การเลือกตั้งอีกต่อไป (เพราะอเมริกาจำกัดว่าประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินสองสมัย)
3
และทีมเดิมของเขาที่มีความคิดกลางๆ ล้วนถูกทรัมป์ปลดออกหรือหนีจากทรัมป์ไปหมดแล้ว ทำให้ทีมงานรอบตัวและที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยเขาบริหารประเทศหากชนะเลือกตั้ง ล้วนเป็นคนที่มีแนวคิดแรงกว่าเดิมทั้งในเรื่องสงครามการค้าและการกลับหลังหันให้โลกาภิวัตน์ เรียกว่าจะซื่อตรงต่อสโลแกน America First ของท่านประธานาธิบดีเข้มข้นหนักขึ้นกว่าเดิมมาก
1
โฆษณา