23 ก.ย. เวลา 02:37 • ความคิดเห็น
เอาล่ะผมจะบอกความจริงให้ทุกคนรับรู้ไว้
ถึงยากจน แต่มีความสุข ไม่ใช่วลีที่คนจนคิด แต่มันถูกยัดเยียด ความคิด จากคนที่ร่ำรวยครับ
1
มันก็คล้ายๆกับโฆษณาที่บอกว่า มื้อที่สุขที่สุด แล้วกินข้าวบนหลังคากับลูก มันก็ไม่ได้ออกจากปากของผู้ประสบภัยน้ำท่วม แต่มันมาจากการยัดเยียดความคิดของโฆษณา ถูกต้องไหมครับ
และคำว่าพอเพียง ก็อยู่ในชีวิตประจำวันของคนโบราณมานานมาก อยู่ๆก็มีคนนำคำว่าพอเพียงมายัดเยียดให้กับคนจน ทั้งๆที่วิถีชีวิตชาวบ้านนอกโบราณก็มีคำว่าพอเพียงอยู่แล้ว มันคือวิถีชีวิตของชนบทชาวไทยมาตั้งแต่โบราณโดยที่สืบทอดกันมาเป็นปกติอยู่แล้ว พอมาในยุคสมัยหนึ่งอยู่ๆคำนี้ถูกเคลมเป็นของใครบางคน และประกาศออกไป โดยเบื้องหลังก็เต็มไปด้วยการผูกขาด เห้อ... มันเป็นคำพูดของคนที่ร่ำรวยที่ใช้ชีวิตย้อนแย้ง หรือคนที่อยู่ในวังเป็นคนคิด
พูดอย่าง แต่กลับทำอีกอย่าง
ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ที่ใช้ป่าเป็นวัด ท่านสอนคนอื่นอย่างไร ท่านก็ต้องทำอย่างนั้น ให้ดูตัวอย่างก็คือพระพุทธเจ้าเลยครับ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นคำพูดแหกตา หรือยัดเหยียดความคิดเพื่อผูกขาดบางสิ่งบางอย่างไว้ต่างหาก
ส่วนใหญ่ไม่มีใครสังเกตเลยว่า
โรงเรียนที่เราส่งลูกหลานไปเรียนอยู่ทุกวันนี้ ได้สอนระบบทาส ผลิตพนักงานบริษัท ผลิตลูกจ้าง แต่ไม่ได้สอนเรื่องการเงิน ไม่ได้สอนวิธีเปิดบริษัท ไม่ได้สอนการป้องกันเล่ห์เหลี่ยมในการเซ็นสัญญาข้อตกลงในการเปิดบริษัทรวมหุ้นกลุ่มระหว่างกัน สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้ว เราต้องไปเรียนรู้เองเมื่อเราโตขึ้น
1
เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะคนรวยต้องการรักษาระบบทาส พวกเขาต้องการรักษาคนจนไว้ให้ยังคงอยู่ต่อไป เมื่อมีคนที่ยากจน คนร่ำรวยก็ยังคงมีอยู่ยังไงล่ะครับ รัฐบาลไม่ยอมเอาความรู้เรื่องการเงินเหล่านี้ใส่ในบทเรียน เพราะภาษีในประเทศขับเคลื่อนด้วยคนที่ยากจนหรือคนชั้นกลาง ประเทศพัฒนาได้ด้วยคนเหล่านี้ซะส่วนใหญ่ ส่วนคนที่ร่ำรวยจริงๆเขาได้คิดภาษีกับคนจนเรียบร้อยแล้วครับ พูดง่ายๆก็คือคนจนจ่ายภาษีแทนคนรวยหมดแล้วด้วยเล่ห์เหลี่ยมและกลไกการตลาดหลายอย่างที่คุณคาดไม่ถึง
1
รู้ความจริงแล้วก็จำไว้นะครับทุกคน
ส่วนเรื่องความสุขนั้นมันเป็นเรื่องของนามธรรม ถ้าหากมนุษย์อยากมีความสุขอย่างแท้จริง เป็นสุขที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คุณต้องออกจากเกมของความรวยและความจนครับ และนั่นเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับปุถุชน
1
โฆษณา