25 ก.ย. เวลา 02:27 • ความคิดเห็น

10/10/10

ในทุกช่วงชีวิต เราจะต้องมีเหตุให้ตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งก็ตัดสินใจได้ยากเพราะมีทั้งข้อดีและข้อเสียจนพาลไม่ตัดสินใจก็มี
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต ไปเรียนต่อ เลือกที่ทำงาน ลาออกดีหรือไม่ แต่งงานดีหรือไม่ มีลูกดีหรือไม่ แม้กระทั่งจะไปเที่ยวหรือซื้อของอะไรแพงๆ
ต่างคนก็มีกระบวนการ มีเกณฑ์ในการตัดสินใจต่างกันออกไป บางคนก็ใช้ความรู้สึกตัดสิน บางคนอาจจะทำข้อดีข้อเสียเปรียบเทียบ บางคนก็อาจจะลองให้คะแนนทางเลือกต่างๆก็มี
ผมไปอ่านเจอกรอบกระบวนการช่วยการตัดสินใจหนึ่งที่น่าสนใจจากหนังสือ decisive เป็นวิธีคิดของคุณ Suzy Welch นักเขียนด้านธุรกิจชื่อดัง คุณซูซี่เรียกกระบวนการช่วยตัดสินใจนี้ว่า 10/10/10 โดยอธิบายว่าเราจะมองเรื่องที่ต้องตัดสินใจเรื่องเดียวกันเป็นสามระยะ ระยะแรกคือเราจะรู้สึกยังไงถ้าลุยตามที่คิด 10 นาทีจากนี้ ระยะที่สองคือ 10 เดือนจากนี้ และระยะที่สามคือ 10 ปีจากนี้
พอลองใช้ระยะเวลาสามช่วงมาใส่การตัดสินใจ เราก็จะอาจจะเห็นภาพที่ชัดเจนว่าควรจะทำอะไรไม่ทำอะไรได้ง่ายขึ้น
หนังสือ decisive ยกตัวอย่างผู้หญิงคนหนึ่งที่คบกับผู้ชายที่เพิ่งหย่าร้างและมีลูกติด เธอชอบเขามากและอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกขั้น แต่เขาดูจะระมัดระวังตัว อาจจะเป็นเพราะบาดแผลจากการหย่าร้างก็เป็นได้ เธอกับเขายังไม่เคยบอกอะไรกันเลยแต่กำลังจะขับรถไปเที่ยวทางไกลด้วยกัน เธอลังเลว่าควรจะเป็นคนเริ่มบอกเขาว่าชอบเขาหรือไม่
ในใจก็กลัวการปฏิเสธ กลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด
พอใช้วิธีคิด 10/10/10 เข้ามาถามตัวเอง ถ้าบอกไปแล้ว 10 นาทีแรกก็คงตื่นเต้นแต่ก็น่าจะภูมิใจในตัวเองที่กล้าทำ 10 เดือนหลังจากบอกก็น่าจะทำให้ความสัมพันธ์ชัดเจนขึ้นว่าไปต่อหรือไม่ไปต่อจะได้ไม่เสียเวลา และ 10 ปีจากนี้ก็คงถ้าไม่อยู่ด้วยกันแบบมีความสุขก็คงแยกย้ายไปนานแล้ว
พอคิดตามหลักการนี้เธอก็เลยบอกชอบเขาไประหว่างการเดินทาง…
หลักการ 10/10/10 นี้ช่วยให้เราเกลี่ยอารมณ์ที่ดูจะรุนแรง ตึงเครียด ตื่นเต้น หรืออยากมากๆ ในช่วงแรกกับ ความเบลอๆ ไม่ชัดเจนและไกลตัวในช่วงหลัง ทำให้อารมณ์ในปัจจุบันไม่แรงเกินจริงและทำให้การตัดสินใจเป๋ไปได้
เช่นตอนนี้เราไม่ชอบที่ทำงานเหลือเกิน เบื่อหัวหน้า เบื่อลูกน้อง อยากลาออก ลาออกแล้ว 10 นาทีแรกก็คงโล่ง แต่ 10 เดือนหลังจากนี้ อยู่บ้านเฉยๆจะเบื่อรึเปล่า ถึงตอนนั้นถ้าหางานใหม่ยังไม่ได้จะมีเงินทองพอดูแลคนที่บ้านหรือไม่ และ 10 ปีหลังจากนั้นลูกก็ต้องเรียนหนังสือ พ่อแม่ก็จะอายุเยอะมาก ถ้าหางานใหม่ไม่ได้จะมีผลกระทบอะไรต่อคนรอบข้างหรือไม่
8
พอเอากรอบ 10/10/10 มาคิดก็อาจจะทำให้ไม่หุนหันพลันแล่น ค่อยๆ หางานใหม่ก่อนออกน่าจะดีกว่า
หรือมีโอกาสจะโกงหุ้นส่วนเพื่อนฝูงเพราะเห็นข้อได้เปรียบทางสัญญา 10 นาทีแรกก็น่าจะได้เงินเข้ากระเป๋ามาก ลูกที่ลำบากอยู่ ถูกดูถูกดูหมิ่นก็จะได้เรียนอินเตอร์กับเขาซักที แต่ 10 เดือนหลังจากนี้อาจจะต้องโดนคดีขึ้นโรงขึ้นศาล และ 10 ปีหลังจากนี้ ชื่อเสียงที่พังทลายก็จะทำให้ไม่มีใครคบ อาจจะไม่มีที่ยืนในสังคมอีก ก็อาจจะบรรเทาความคิดชั่วร้ายนั้นก็เป็นได้…
กรณีนี้ผมเขียนจากเหตุการณ์จริงที่เพื่อนผมโดนโกงและคนที่โกงไปชีวิตก็ดีในช่วงแรกแต่เละเทะในตอนจบ ถ้าเขาใช้หลัก 10/10/10 ในตอนนั้นก็อาจจะไม่จบแบบนี้ก็ได้
ต้นสน ดร. สันติธาร เสถียรไทย เขียนบทความหนึ่งในหนังสือ twists and turns ที่ขายดีมากๆ ในตอนนี้ บทความนั้นชื่อว่า วันนี้ วันหน้าหรือวันหนึ่ง โดยใช้กรอบวิชาเศรษฐศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจเรื่องราวสำคัญๆในชีวิตของต้นสนเอง
โดยการตัดสินใจเพื่อ “วันนี้” เป็นการตัดสินใจเพื่อบริโภค (consumption) เพื่อให้ได้ความสุขทันที
2
ส่วนการตัดสินใจเพื่อ “วันหน้า” เป็นการตัดสินใจที่ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่าการลงทุน (investment) ส่วนการตัดสินใจเพื่อ “วันหนึ่ง” คือตัวเลือกที่เราจะไม่เสียใจภายหลังเมื่อมองย้อนกลับมา
5
โดยต้นสนอธิบายว่าตัวเลือกแต่ละประเภทมีนิยามความสำเร็จไม่เหมือนกัน ความเสี่ยงที่ต่างกัน ต้องใช้วิธีคิดคนละแบบในการตัดสินใจ..
2
ผมมานั่งลองคิดตามกรอบของต้นสนผสมกับกรอบ 10/10/10 ก็จะพบว่า การตัดสินใจเพื่อวันนี้ ถ้าเป็นเรื่องการบริโภค เช่นการซื้อของแพงๆ กรอบ 10/10/10 จะช่วยสร้างสมดุลไม่ให้วู่วามได้ดี แต่การตัดสินใจเพื่อวันนี้ที่ดีก็คืออะไรที่ถ้าเราไม่ทำวันนี้แล้วเราอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำ หรือเสียใจไปชั่วชีวิต เช่นถ้าไม่พาลูกไปดิสนีย์แลนด์ตอนเขายังเล็กๆ พอโตแล้วก็จะไม่มีโอกาสพาไปอีก เขาก็คงไม่อยากไปแล้วในตอนนั้นเป็นต้น
2
การตัดสินใจเพื่อคิดถึงวันหน้านั้น ก็คือการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ผมเองจะมองในมุมของการลงทุนด้านการเงิน ด้านสุขภาพ ด้านกัลยาณมิตรที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลเรา ไว้เป็นหลัก อะไรก็ตามที่ต้องรักษาสมดุลย์ในเรื่องความสุขในวันนี้กับการลงทุนที่จะออกดอกออกผลในระยะยาวก็จะต้องสลับกันไปเสมอ เช่นบางครั้งก็กินเอาอร่อยแต่ก็ต้องมีบางมื้อที่ต้องกินเพื่อสุขภาพบ้าง
ทุกวันที่ตื่นเช้ามาวิ่งโดยไม่เอาความสุขในการนอนต่อวันนี้ก็เพื่อจะได้มีสุขภาพที่ดีในวันหน้า การเก็บเงินเก็บทองไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยก็เพื่อจะได้ลงทุนเผื่อจะได้มีตังค์ฉุกเฉินยามแก่
เป็นหลักการที่ทำให้ตัดสินใจเรื่องวันนี้กับวันหน้าได้ง่ายขึ้น
ส่วนวันหนึ่ง หรือเลข 10 สุดท้ายใน 10/10/10 ก็คือสิ่งที่ต้นสนบอกว่าคือการตัดสินใจที่เราตัดสินใจแล้วพอมองย้อนกลับมาจะไม่เสียใจภายหลัง (no regret) หรือ “รู้งี้” ในวัยห้าสิบกว่าอย่างผม พอมองย้อนกลับไป
ตัวเลือกประเภทนี้มักจะเป็นตัวเลือกที่ยากลำบากในการเลือก มีความเสี่ยง และไม่รู้จะทำได้รึเปล่า ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ผมอาสาไปทำ mobile internet จากการที่ทำงานการเงินมาชั่วชีวิต ไปสามวันแรกฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลยและคิดว่าไม่น่ารอดแน่ๆ แต่ก็ตัดสินใจทุบหม้อข้าวมาแล้วก็ต้องหาทางแก้ไข สร้างทีม ลองทำอะไรใหม่ๆ เรียนรู้จนได้ไปทำงานการตลาดต่อและกลายเป็นอาชีพใหม่ที่ทำให้ผมเติบโตอย่างเร็วมากหลังจากนั้น
หรือตอนที่ไปทำงานที่ไม่มีใครทำเพราะเป็นงานที่ยากลำบาก ทุกคนหนีหมด แต่ก็ทำให้ผมได้ความรู้เยอะมาก และได้เจอ investor เก่งๆ จนพาผมไปอยู่ในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงที่ต้องการรู้ว่า investor คิดอะไร ทำให้กลายเป็นดาวรุ่งในดีแทค พอมองย้อนกลับไปก็เป็นการเลือกที่ดีที่สุดในชีวิตของผม
1
ซึ่งทางเลือก “วันหนึ่ง” ที่ดีมักจะเป็นเรื่องยากๆ ในวันที่เราเลือก เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม แต่พอผ่านไปแล้วไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว มักจะมีบทเรียนที่สำคัญ ที่ดี และทำให้เราแกร่งขึ้นเสมอ เมื่อเทียบกับการไม่ตัดสินใจเพราะกลัวล้มเหลว หรือกลัวทำไม่ได้ในตอนนั้น
วิธีคิดแบบ 10/10/10 และวิธีคิดแบบ วันนี้ วันหน้า วันหนึ่ง (ซึ่งผมแนะนำให้ซื้อหนังสือของต้นสนเพราะจะอธิบายไว้ละเอียดกว่าผมมาก) น่าจะมาช่วยประกอบการตัดสินใจอะไรที่สำคัญๆ ในชีวิตของเราได้
ถ้าใครกำลังคิดแบบสะเปสะปะว่าจะเอาไงดี ทำให้เราคิดได้รอบด้านและใช้อารมณ์น้อยลง รวมถึงจะได้ไม่เสียใจภายหลังในวันหน้าและวันหนึ่งด้วยนะครับ…
1
โฆษณา