25 ก.ย. เวลา 13:47 • ปรัชญา

นิพพานพรหมVSพระนิพพาน

ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า "การแยกรูปแยกนาม" เห็น"ร่างกายไม่ใช่เรา เห็นจิตเกิดดับไม่ใช่เรา" ซึ่งใครๆก็เห็นได้ หากนั่งสมาธิจนได้ฌาน ซึ่งไม่ใช่การบรรลุธรรม ยังไม่เห็นธรรมะ ยังละกิเลสอย่างละเอียดไม่ได้ ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน
คนที่แยกรูปนามได้ ก็จะเห็น"จิต"ได้ จิตที่พ้นรูปนาม ก็จะเป็น"จิตผู้รู้"เขาจะหลงในตัวรู้ เขาจะเห็นว่า"จิตผู้รู้"นี่คือ"ตัวเรา" "จิตผู้รู้"ไปรู้อะไร "ตัวเรา"ก็รู้อย่างนั้น "จิตผู้รู้"มีอะไรมากระทบ "ตัวเรา"ก็เห็นสิ่งที่กระทบได้ทันที จึงเห็นว่า"ตัวเรา"สามารถตัดสิ่งที่ไปรู้ทิ้งได้ทันที จึงเห็น"จิตสักแต่ว่ารู้" รู้บ่อยๆ "จิตจึงไม่คิด" จึง"สิ้นคิด" จิตนิ่งสงบ ไม่มีสิ่งไปกระทบ "จิตจึงว่าง"
ก็คิดว่า ตัวเองบรรลุธรรม เป็น"พระอรหันต์"แล้ว แต่หากเขาไม่ทำสมาธิต่อเนื่อง กำลังสมาธิจะตามจิตผู้รู้ไม่ทัน จะไม่เห็น"จิตสักแต่ว่ารู้" จิตจะไหลไปกับอารมณ์ เป็นจิตคนธรรมดา จึงต้องทำสมาธิบ่อยๆ เพื่อให้จิตนิ่ง เป็นจิตสักแต่ว่ารู้ต่อไป ที่พระท่านเรียกว่า"พระอรหันต์ มีเข้ามีออก"
คนที่ไม่เห็น"จิตผู้รู้ไม่ใช่ตัวเรา"นิพพานของเขา จะเห็นแต่ความว่าง "จิตว่าง" จิตที่ไม่มีอะไรมากระทบจิต ไม่มีความคิดเกิด เพราะเขาไม่เห็น"กิเลสตัวในจิต" เห็นแต่"กิเลสตัวนอกจิต" คือ "จิตสังขาร" เขาจึงมุ่งไปละแต่"จิตสังขาร"เห็น"จิตผู้รู้เป็นตัวเรา ตัวเราเป็นจิตผู้รู้" มันจึงบังคับไม่ให้คิด แค่รู้อย่างเดียวเท่านั้น จึงมีแต่"จิตว่าง" นิพพานจึงเป็น"นิพพานพรหม"
หากแต่คนที่เห็น"จิตผู้รู้ไม่ใช่เรา" เหตุที่จิตยังเป็นผู้รู้อยู่ เพราะจิตยังมี"สัญญา"(ความจำได้) และ"เวทนา"(หมายรู้สุขทุกข์เฉย) อยู่ในจิต ยังละไม่ได้ จิตจึงยังไปรู้ 2 ตัวนี้ได้อยู่ เมื่อเห็นกิเลสอย่างละเอียด "กิเลสตัวในจิต"ได้ ก็เข้าใจ"วิธีบรรลุพระนิพพาน"ตามแบบพระพุทธเจ้าได้ คือ เราต้องเอา"จิตผู้รู้" ไปดูร่างกาย ให้เห็นว่า"ร่างการไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร" เพื่อให้จิต คลาย"สัญญา"(ความจำในรูปว่า "ร่างกายเป็นเรา") เมื่อคลายได้ละได้เห็นได้ ก็เป็น"พระอนาคามี"
จิตไม่เห็นว่ามีรูป ก็มีแต่"จิตผู้รู้"อย่างเดียว หากเราเข้าสมาธิ ก็เข้าฌานสมาบัติฯได้ ก็จะเห็น"จิตสุข" แต่พอออกจากสมาธิ ใช้จิตธรรมดา จิตไปเป็นผู้รู้ ผู้ดู จิตทำงานอยู่ ก็จะเห็น"จิตทุกข์" หาก"จิตเห็นจิตเป็นตัวทุกข์"ได้ ก็จะละตัว"เวทนา"ในจิตได้ (ส่วน"วิญญาณ" มันละไม่ได้ เพราะ"มันทำของมันเอง บังคับไม่ได้ สั่งไม่ได้ ไม่ใช่เรา") จิตจึง"สักแต่ว่ารู้" ไม่มีขันธ์ 5 ที่ต้องไปรู้อะไรอีกแล้ว "จิตจึงหลุดพ้น รู้ว่าหลุดพ้น" เป็น"พระอรหันต์"ได้
เมื่อหลุดพ้นจากขันธ์ 5 จิตจึงมาอยู่กับตัวจิตเอง ก็คือ"ความว่างของจิต" แม้จิตจะเคลื่อนไปรู้ แต่ไม่เห็นว่ามันเป็นอะไร ไม่เห็นว่าเป็นรูป ไม่เห็นว่าเป็นเรา ไม่มีการจำ ไม่มีการคิด ไม่มีอารมณ์สุขทุกข์เกิดขึ้น จิตไม่ต้องทำงาน จิตได้พักผ่อน มันจึงเป็น"จิตบรมสุข" จึงเป็น"พระนิพพาน"ที่ถูกต้อง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
โฆษณา