26 ก.ย. เวลา 13:32 • นิยาย เรื่องสั้น

ตำนานผีปอบยายลี: ความลับแห่งวิญญาณร้าย

ตอนที่ 1: ตำนานผีปอบยายลี
ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์แหว่งหายเป็นเสี้ยว ท้องฟ้ามืดมนและอากาศเย็นยะเยือก หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งนาและป่าไม้ลึกที่เงียบสงัด กำลังถูกปกคลุมด้วยความหวาดกลัว หลังจากที่ชาวบ้านหลายคนเริ่มตายไปอย่างปริศนา ไม่มีใครรู้ว่าทำไมจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ ทุกคนเล่าลือกันว่าความตายเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของ "ปอบ" ที่ซ่อนอยู่ในหมู่พวกเขาเอง
"ยายลี" หญิงชราผู้โดดเดี่ยวที่อาศัยอยู่ปลายหมู่บ้าน กลายเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาของชาวบ้านมาช้านาน ชาวบ้านพูดกันเสียงกระซิบว่าตั้งแต่ยายลีเข้ามาอาศัยในหมู่บ้าน ไม่เคยมีใครเห็นเธอคบค้าสมาคมกับใคร มีเพียงเสียงบ่นและเสียงหัวเราะแปลกๆ ที่ดังออกมาจากบ้านเก่าทรุดโทรมของเธอในยามค่ำคืน พฤติกรรมที่ลึกลับนี้ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวและความสงสัยในใจของคนทั้งหมู่บ้าน
“แกคิดว่าเป็นยายลีจริงๆ เหรอ?” ตาสิงห์ถามกำนันอินทร์ในขณะที่นั่งสูบยาเส้นอยู่ใต้ถุนบ้านของตน
“ไม่รู้... แต่ชาวบ้านพูดกันหนาหู ทุกคนตายไปอย่างประหลาด เหมือนบางอย่างในร่างกายถูกกินไป” กำนันอินทร์ตอบเบาๆ ขณะที่เขามองไปที่ทุ่งนาที่เงียบงัน ท่ามกลางความมืดมิดนั้น ดูเหมือนจะมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ แต่กำนันก็เพียงแค่ขยับตัวนิดหนึ่ง ไม่สนใจมากนัก
วันนั้นเอง ที่ตาสิงห์และกำนันอินทร์เริ่มสืบหาความจริง การไปเยี่ยมบ้านของยายลีเป็นเรื่องที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน แต่ในที่สุด กำนันอินทร์ก็ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับความจริงที่อาจจะซ่อนอยู่ในเงามืด
บ้านของยายลีตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านลึกเข้าไปในป่า เมื่อกำนันอินทร์และตาสิงห์เดินเข้าไปใกล้บ้าน กลิ่นเหม็นที่น่าสะอิดสะเอียนก็ลอยมาปะทะจมูก เป็นกลิ่นของความเน่าเหม็นที่ชวนให้หายใจติดขัด เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น บ้านไม้เก่าทรุดโทรมของยายลีดูน่ากลัวท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องพอให้เห็นเงาลางๆ ของบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ในบ้าน
กำนันอินทร์ยืนหันไปหาตาสิงห์ก่อนจะเคาะประตูบ้าน "ยายลี! ยายอยู่หรือเปล่า?"
ไม่มีเสียงตอบกลับนอกจากเสียงลมที่พัดใบไม้ร่วงกราว กำนันจึงเปิดประตูเข้าไป แต่ทันใดนั้นเองเสียงกระซิบเบาๆ ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนดังขึ้น “กลับไป… กลับไปก่อนที่จะสายเกินไป…”
ตาสิงห์สะดุ้ง รู้สึกเหมือนมีบางอย่างจ้องมองมาจากเงามืดในบ้าน เขาหันไปมองกำนันอินทร์ที่เริ่มมีสีหน้าตึงเครียด “แกได้ยินไหม?”
“ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น” กำนันอินทร์ตอบอย่างเย็นชา แต่ข้างในกลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติในที่นี้
ทั้งคู่เดินเข้าไปในบ้านที่เย็นและมืด ก่อนที่พวกเขาจะเห็นสิ่งที่น่าตกใจ—มีร่องรอยของบางอย่างที่เหมือนกรงเล็บ ข่วนไปตามผนังบ้านและกองกระดูกสัตว์เล็กๆ กองอยู่มุมห้อง เรื่องราวที่ชาวบ้านเล่าถึงยายลีในฐานะผีปอบเริ่มดูน่าเชื่อขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้ กำนันอินทร์รู้ว่าเขาต้องหาคำตอบให้ได้—ก่อนที่อีกคนในหมู่บ้านจะต้องตาย...
ตอนที่ 2: ความสูญเสียในหมู่บ้าน
ในยามเช้าที่อากาศยังอึมครึม แสง หญิงสาวผู้อ่อนโยนประจำหมู่บ้านเริ่มมีอาการป่วยลึกลับ ทั้งๆ ที่เธอเคยแข็งแรงและขยันทำงานไร่ร่วมกับสามีและลูกเล็ก แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ร่างกายของเธอเริ่มอ่อนแรง รู้สึกหนาวสั่นโดยไม่มีสาเหตุ สามีและลูกของเธอต่างพยายามดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ดูเหมือนว่าอาการของแสงจะยิ่งทรุดลงไปเรื่อยๆ
สามีของแสง, ชายผู้แข็งแรงชื่อว่า "เมฆ" ไม่เคยเห็นภรรยาป่วยหนักขนาดนี้มาก่อน เขารู้สึกกังวลและตัดสินใจเรียก "หมอขวัญ" หมอผีประจำหมู่บ้านมาดูอาการของแสง หลังจากที่หมอขวัญมาถึง เขาใช้สมุนไพรและคาถาอาคมของตนเพื่อพยายามรักษาแสง แต่ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน หมอขวัญเดินไปรอบๆ บ้านของแสง ส่องดูร่างกายของเธอด้วยสายตาแหลมคมของคนที่ช่ำชองในศาสตร์ลึกลับ
“ข้าไม่เห็นอาการเจ็บป่วยใดๆ ที่บ่งบอกว่าเป็นโรค” หมอขวัญบอกกับเมฆ และครอบครัวของแสงในน้ำเสียงที่เป็นกังวล
แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น หมอขวัญก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าอะไรทำให้แสงเริ่มมีอาการอ่อนแอและซีดเซียวอย่างผิดปกติ ทุกคืนแสงเริ่มฝันร้ายและตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับเสียงกรีดร้อง ราวกับมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังรังควานเธออยู่
เมื่อชาวบ้านได้ยินข่าวการป่วยลึกลับของแสง ความตื่นกลัวก็เริ่มแพร่กระจาย บางคนบอกว่าแสงถูก "ผีปอบ" เล่นงาน บางคนเริ่มเล่าลือกันว่าผีปอบน่าจะเป็นยายลี หญิงชราผู้ลึกลับที่เคยมีประวัติถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการตายของคนในหมู่บ้านมาก่อน เมื่อหมอขวัญได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของเขาเริ่มเข้มขึ้น สายตาเริ่มแสดงความกังวล
“ผีปอบ…” หมอขวัญพึมพำเบาๆ ขณะยืนคิดทบทวน "ข้าสงสัยว่ามันจะใช่"
เมฆและชาวบ้านที่มารวมตัวกันเพื่อดูอาการของแสงต่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “ผีปอบ?” หนึ่งในชาวบ้านถามขึ้น "หมายความว่ายังไง หมอขวัญ? ท่านคิดว่าแสงถูกผีปอบเข้าสิงงั้นหรือ?"
หมอขวัญไม่ตอบทันที เขาเพียงมองไปรอบๆ บ้านของแสง และถอนหายใจลึก ก่อนจะหันไปบอกกับเมฆและครอบครัวของแสงว่า “ข้าสงสัยว่าอาการของแสงไม่ได้เกิดจากโรค แต่มีบางสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังเข้าสิงร่างของนางอยู่… เป็นไปได้ว่ามันอาจเป็นผีปอบที่แอบแฝงอยู่ในหมู่บ้านมานานแล้ว”
เมื่อหมอขวัญพูดจบ ทุกคนในที่นั้นเริ่มมีท่าทีไม่สบายใจ หลายคนหันไปมองกันเองด้วยสายตาหวาดกลัว “แล้วผีปอบที่ว่ามันอยู่ที่ไหนล่ะ?” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งถามด้วยเสียงที่สั่น
แม้จะไม่มีใครพูดออกมา แต่สายตาของพวกเขาเริ่มหันไปทางบ้านของยายลีอย่างเงียบๆ ยายลีเคยถูกสงสัยมาก่อน และเมื่อประกอบกับเหตุการณ์ลึกลับในหมู่บ้านครั้งนี้ ผู้คนก็เริ่มแน่ใจว่ายายลีน่าจะเป็นต้นเหตุของความทุกข์ยากที่กำลังเกิดขึ้น
“ถ้าข้าไม่เข้าใจผิด” หมอขวัญพูดพร้อมหรี่ตาลง “ผีปอบมักจะเลือกสิงร่างของคนที่มีจิตอ่อน หรือผู้ที่เคยข้องเกี่ยวกับสิ่งลึกลับ หากไม่รีบจัดการ มันอาจจะกัดกินชีวิตของแสงจนไม่เหลือ”
บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความเงียบและความกลัว ขณะที่ทุกคนเริ่มคิดหาวิธีจัดการกับสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ เมฆจับมือภรรยาของเขาไว้แน่น ความหวาดกลัวค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วหมู่บ้าน—และตอนนี้ ทุกสายตาก็หันไปที่ยายลี... วิญญาณที่อาจเป็นต้นเหตุของความสูญเสียที่กำลังจะมาถึง
ตอนที่ 3: การเปิดโปง
ค่ำคืนที่เงียบงันเริ่มปกคลุมหมู่บ้าน ราวกับมีเงาดำเฝ้ามองดูอยู่จากทุกทิศทาง เรื่องราวของการพบศพชาวบ้านที่ถูกกินไส้พุงในสภาพแปลกประหลาดแพร่กระจายไปทั่ว ทุกคนเริ่มพูดถึงผีปอบมากขึ้น บางคนกล่าวโทษยายลีอย่างเปิดเผย ส่วนบางคนเลือกเฝ้ามองจากระยะไกลด้วยความสงสัย แต่สำหรับอ้ายทอง หลานชายผู้เป็นที่รักของยายลี เขาไม่อาจทนฟังเสียงกล่าวหาที่ไร้หลักฐานเหล่านั้นได้
“ข้าไม่เชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของยาย ข้าไม่ยอมให้ใครมาใส่ร้ายคนในครอบครัวข้า!” อ้ายทองพูดอย่างเด็ดเดี่ยวขณะที่ยืนอยู่หน้ากลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันในลานกลางหมู่บ้าน เสียงของเขาดังจนทุกคนหันไปมอง ชาวบ้านต่างรู้ดีว่าอ้ายทองรักยายของเขามากเพียงใด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความเชื่อใจของผู้คนเริ่มสั่นคลอน
ตาสิงห์ ชายชราคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นหมอพื้นบ้านและรู้วิธีจัดการกับผีปอบ หันมามองหน้าอ้ายทอง “อ้ายเอ้ย ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่อยากให้ยายถูกกล่าวหา แต่ศพที่พวกเราพบในสภาพนั้น มันชัดเจนว่าไม่ใช่ฝีมือคน” ตาสิงห์กล่าวพร้อมกับถอนหายใจเสียงยาว “การตายครั้งนี้มันมีลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน และในเวลานั้น ผีปอบก็ถูกเล่าลือว่าซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเรา”
“ท่านไม่รู้จักยายข้า!” อ้ายทองเถียงกลับ แต่ในใจลึกๆ เขาเองก็เริ่มสับสนเช่นกัน ตั้งแต่ที่ข่าวลือเกี่ยวกับผีปอบแพร่กระจาย ยายลีของเขาเริ่มทำตัวแปลกๆ หลีกเลี่ยงการพบปะกับคนอื่น และมักจะนั่งจ้องมองไปยังที่ว่างในบ้านด้วยสายตาที่ดูเศร้าสร้อย
กำนันอินทร์ที่คอยสืบสวนเรื่องราวเหล่านี้อย่างใกล้ชิดยืนขึ้นในที่ประชุม เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ หากเป็นเรื่องของผีปอบจริงๆ เขาต้องหาทางจัดการ “เราจะไม่ยอมปล่อยให้ความหวาดกลัวครอบงำหมู่บ้าน เราต้องหาทางพิสูจน์ว่ามันคือผีปอบหรือไม่ ก่อนที่เรื่องร้ายๆ จะเกิดขึ้นอีก”
หมอขวัญที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น “ข้ารู้วิธีที่จะไล่ผีปอบ หากมีผีปอบอยู่จริง ข้าจะไล่มันออกจากหมู่บ้านนี้ แต่ข้าต้องการความร่วมมือจากทุกคน โดยเฉพาะตาสิงห์ ผู้เคยมีประสบการณ์ในการจัดการเรื่องพวกนี้”
ตาสิงห์พยักหน้า “ข้ามีวิธีที่อาจใช้ได้ เราจะทำพิธีเชิญผีปอบออกมาจากร่างของผู้ที่ถูกมันสิง ถ้ามีผีปอบอยู่ มันจะหนีไปไม่ได้”
ขณะที่ทุกคนเริ่มถกเถียงกันถึงแผนการจัดการกับผีปอบ อ้ายทองยังคงยืนแน่นิ่ง ความคิดที่วนเวียนในหัวทำให้เขาไม่อาจตัดสินใจได้ เขารู้สึกลังเล เขารักยายลีและอยากปกป้องเธอ แต่ในเวลาเดียวกัน หลักฐานที่ปรากฏก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่ายายอาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งลึกลับจริงๆ
ในคืนนั้น หลังจากประชุมเสร็จสิ้น กำนันอินทร์ประกาศว่าทุกคนต้องเตรียมพร้อมสำหรับพิธีในวันรุ่งขึ้น การเปิดโปงผีปอบจะเริ่มขึ้น และทุกคนในหมู่บ้านจะต้องร่วมมือกันเพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าผีปอบที่พวกเขาเผชิญหน้าคือใคร
แต่ในความมืดมิดของคืนที่เงียบสงัด เงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ยายลีซ่อนตัวอยู่ในเงามืด มองดูหมู่บ้านจากหน้าต่างบ้านเล็กๆ ของเธอ เสียงหัวใจของเธอเต้นแรง และในดวงตาของเธอแววความลึกลับที่ไม่มีใครรู้กำลังลุกโชน...
ความจริงกำลังจะถูกเปิดเผย และไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาค้นหานั้นจะพาพวกเขาไปพบกับอะไร...
ตอนที่ 4: การเผชิญหน้ากับความจริง
ค่ำคืนที่เงียบงันกลับมาอีกครั้ง ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านหมู่บ้าน เหล่าชาวบ้านยังคงพูดคุยถึงเรื่องราวของผีปอบที่แฝงตัวอยู่ในหมู่บ้าน บางคนเชื่อมั่นว่ายายลีเป็นต้นเหตุของความตายที่เกิดขึ้น แต่บางคนเริ่มสงสัยว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ภายใต้ข้อกล่าวหาเหล่านั้น
อ้ายจัน หนุ่มชาวบ้านผู้กล้าหาญและดื้อรั้น กลับเป็นคนเดียวที่ยังคงตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่ถูกเล่าขาน เขาไม่เชื่อว่าผีปอบจะเป็นคำตอบของความตายลึกลับเหล่านี้ "ถ้ามีผีปอบจริง มันต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่คำบอกเล่าจากความกลัว" อ้ายจันพูดกับตัวเอง
ด้วยความมุ่งมั่น อ้ายจันเริ่มออกตามหาเบาะแส เขาตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมบ้านของผู้ที่เพิ่งเสียชีวิตเพื่อสืบหาความจริง ภาพของศพที่ถูกกินตับไตไส้พุงตามคำบอกเล่าของชาวบ้านทำให้อ้ายจันรู้สึกไม่สบายใจ แต่เขาไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้ เขาเดินเข้าไปในบ้านของผู้เสียชีวิตพร้อมกับความรู้สึกหนักใจ
เมื่อเขาสำรวจบ้าน เขาสังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติ มียาสมุนไพรหลายขนานวางอยู่ตามมุมห้อง และดูเหมือนว่าผู้ตายมีปัญหาสุขภาพมานาน อ้ายจันนั่งลงคิดถึงสิ่งที่เขาพบ "หรืออาการป่วยลึกลับเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางสุขภาพ?" เขาคิด ขณะที่เขากำลังตรวจสอบสิ่งต่างๆ เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้อ้ายจันรีบหันไปดู
ยายลีเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าหมอง "เจ้ามาทำอะไรที่นี่ อ้ายจัน?" เสียงของยายลีเบาและลึกลับ อ้ายจันหยุดนิ่ง แต่ยังคงถามในสิ่งที่เขาสงสัย "ยายลี ข้าไม่เชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของผีปอบ ข้าคิดว่ามีบางอย่างที่พวกเราไม่เข้าใจ"
ยายลียิ้มบางๆ แต่สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด "เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนร้ายงั้นหรือ?" ยายลีถามกลับด้วยเสียงแผ่ว อ้ายจันลังเล แต่ก็ตัดสินใจถามสิ่งที่เขาสงสัย "ยาย เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับคนที่ตายไปหรือเปล่า?"
ยายลีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูด "ข้ารู้ว่าไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด แต่ความจริงคือ ข้าไม่ได้ทำร้ายใคร ข้าแค่คนแก่ที่ต้องทนทุกข์กับการกล่าวหา ข้าเคยพยายามช่วยคนด้วยสมุนไพร แต่บางครั้งมันก็ไม่เพียงพอ"
อ้ายจันฟังคำพูดของยายลีอย่างตั้งใจ เขาเริ่มเห็นภาพที่ซับซ้อนมากขึ้น การกล่าวหาว่ายายลีเป็นผีปอบอาจเป็นผลจากความกลัวและความไม่รู้ของชาวบ้าน เขาตัดสินใจว่าจะไม่เชื่อเพียงเพราะคำเล่าลือ แต่จะค้นหาความจริงอย่างละเอียด
ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านบางคนเริ่มมารวมตัวกันที่หน้าบ้าน ผู้คนเริ่มมีท่าทีหวาดกลัวเมื่อเห็นยายลีอยู่ใกล้กับอ้ายจัน "ระวังนะ อ้ายจัน! อย่าให้ยายลีเข้ามาใกล้!" หนึ่งในชาวบ้านตะโกน แต่ในใจของอ้ายจัน ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่พวกเขากลัวเป็นเรื่องจริงหรือแค่ความหวาดระแวง
ความจริงยังคงถูกซ่อนอยู่ แต่การเผชิญหน้าครั้งนี้เปิดช่องให้เห็นว่าเรื่องราวของผีปอบอาจมีอะไรมากกว่าที่พวกเขาคิด...
ตอนที่ 5: จุดจบของยายลี
ค่ำคืนที่มืดมิดและเงียบงันปกคลุมหมู่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านรวมตัวกันที่ลานกว้างใจกลางหมู่บ้าน อ้ายทองยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยความกังวลใจ เขามองไปที่ยายลีซึ่งยืนอยู่ในมุมหนึ่งของลาน หญิงชราผู้อ่อนแอในคราบของผู้ต้องหา ความโศกเศร้าท่วมท้นในใจของเขาเพราะเขารู้ว่านี่คือคืนที่สำคัญที่สุดของยายลี
หมอขวัญซึ่งเป็นที่พึ่งของชาวบ้านมาอย่างยาวนาน ได้เตรียมทุกอย่างไว้สำหรับพิธีไล่ผีครั้งสุดท้าย เธอมีความมุ่งมั่นที่จะปลดปล่อยยายลีจากสภาพที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ ทั้งที่ความจริงที่เธอค้นพบมาก่อนหน้านี้บีบคั้นหัวใจของเธอ
"คืนนี้เราจะทำพิธีเพื่อไล่ผีปอบออกจากยายลี" หมอขวัญพูดด้วยเสียงที่มั่นคง "และเพื่อให้วิญญาณของเธอได้พักผ่อนอย่างสงบ"
ชาวบ้านพากันมามุงดู โดยมีอ้ายทองยืนอยู่ข้าง ๆ ยายลี เขารู้สึกเจ็บปวดใจเมื่อเห็นคุณยายของเขาต้องเผชิญหน้ากับความจริงนี้ แต่เขาก็ยังไม่ละทิ้งความหวัง "ยาย! ข้าจะไม่ให้ใครทำร้ายท่าน!" อ้ายทองตะโกนออกไป
หมอขวัญเริ่มทำพิธี ด้วยการจุดธูปและวางดอกไม้รอบๆ ตัวยายลี เสียงของเธอดังขึ้นเมื่อเธอเริ่มสวดมนต์ "ให้วิญญาณที่มารบกวนเจ้าจงออกไปจากร่างนี้ มันถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะได้พบกับความสงบ"
ในขณะที่เธอทำพิธี ยายลีมองไปที่อ้ายทองด้วยความรู้สึกผิดหวังและความเศร้า "ขอโทษนะหลาน ข้าไม่สามารถควบคุมมันได้ ข้าเคยเรียนวิชามนต์ดำเพื่อช่วยคน แต่สิ่งนั้นกลับกลายเป็นฝันร้าย"
เสียงสวดมนต์ดังขึ้นเรื่อยๆ และพลังงานบางอย่างเริ่มเคลื่อนไหวในอากาศ ยายลีรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังดึงเธอออกไปจากร่างของเธอ "ไม่! ข้าไม่อยากไป!" เสียงของเธอแผ่วเบา
แต่หมอขวัญยังคงมุ่งมั่น "วิญญาณที่มารบกวนเจ้าจงออกไป! ไม่ต้องกลัว ข้าจะช่วยเจ้า!" ทันใดนั้น ลมพัดแรงขึ้น และแสงสว่างจากธูปเริ่มสว่างจ้า ชาวบ้านรู้สึกถึงความเยือกเย็นที่อบอวลอยู่ในอากาศ
ในที่สุด ยายลีเริ่มสะท้าน และร่างกายของเธอเริ่มสั่น "หลาน! ขอโทษนะ ข้ารักเจ้า" สุดท้าย เสียงของยายลีก็ดังขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม ขณะที่ร่างของเธอเริ่มสลายไปในอากาศ
"ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป" ยายลีกล่าวด้วยเสียงที่หวานและเศร้า พร้อมกับแสงสว่างที่หายไปท่ามกลางเสียงสวดมนต์
เมื่อพิธีเสร็จสิ้น หมอขวัญและชาวบ้านต่างรู้สึกโล่งใจในความสงบที่กลับคืนมา แม้จะมีความเศร้า แต่พวกเขารู้ว่ายายลีได้ถูกปลดปล่อยจากการเป็นผีปอบแล้ว
อ้ายทองยืนอยู่ในเงามืด รู้สึกเศร้าใจในความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่เขาเข้าใจว่าใน
ที่สุดยายลีได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมาน เขาเฝ้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวและหวังว่าวิญญาณของยายลีจะได้พบกับความสงบในที่ที่ดีกว่า
และจากคืนนั้น หมู่บ้านก็เริ่มฟื้นฟูและสร้างความเข้าใจใหม่ในสิ่งที่เคยถูกกล่าวหา ทุกคนได้เรียนรู้ว่า ความกลัวอาจทำให้พวกเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการค้นหาความจริงอยู่เสมอ...
โฆษณา