26 ก.ย. เวลา 18:39 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

รีวิว Taklee Genesis - ครบเครื่องเรื่องไซไฟ การเมือง ปรัชญา กับปัญหาใหญ่ในการสร้างความเชื่อถือ

ไม่อาจทราบได้ว่าแนวคิดตั้งต้นของผู้กำกับ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล นั้น ต้องการที่จะทำหนังการเมืองแล้วฉาบหน้าด้วยความเป็นไซไฟ หรืออยากทำหนังไซไฟแล้วบังเอิญว่ามันสามารถสอดแทรกการเมืองเข้าไปได้พอดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ เขาสามารถจัดการกับข้อมูลมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้มันทำให้เกิดแนวทางที่ “ต้องเป็นคนไทย” เท่านั้นที่จะเล่ามันออกมาได้...
...การเดินทางข้ามเวลาที่ไม่ใช่แค่วิถีของหนังไซไฟ แต่มีเรื่องราวการเมืองทั้งในแง่ของบาดแผลในอดีตและการวิพากษ์ระบอบทุนนิยมปะทะกับคอมมิวนิสต์สอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง (มีทั้งแบบโจ่งแจ้งและต้องตีความ)
Taklee Genesis
ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 25 นาทีของ Taklee Genesis ผู้กำกับมะเดี่ยวอัดผู้ชมจนน่วมด้วยชุดข้อมูลมหาศาล เริ่มจากเหตุการณ์ประหลาดที่หมู่บ้านดอนหาย การทดลองเกี่ยวกับเครื่อง “ตาคลี เจเนซิส” ของทหารอเมริกันในช่วงสงครามเวียดนาม การตามหาวงแหวนนำไปสู่การเดินทางย้อนเวลาไปที่วัฒนธรรมบ้านเชียงและมุ่งไปสู่เมือง “นิว อุดร” (New U-Dawn) ในอนาคต ยังไม่รวมเรื่องราวของสัตว์ประหลาดปริศนาและการไปโผล่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ กลายเป็นมหากาพย์เรื่องราวที่มีทั้งด้านดีและด้านด้อยไปพร้อมๆ กัน
Taklee Genesis
ในด้านดี คือ ความรู้สึกเต็มอิ่มไปกับเรื่องราวการตามหาวงแหวนของสเตลล่า(พอลล่า เทย์เลอร์) เพื่อช่วยพ่อของเธอที่ติดอยู่ในอวกาศ แน่นอนว่าทุกอย่างต้องมีอุปสรรค ทำให้ภารกิจของสเตลล่าไม่ได้เป็นเส้นตรง(ไม่งั้นคงน่าเบื่อแย่) จุดนี้เองที่มะเดี่ยวใช้เพื่อนำพาผู้ชมไปสู่ประเด็นต่างๆ ที่เขาอยากจะเล่า เกิดเป็น “เส้นเรื่องย่อย” หลายเส้น ความซับซ้อนของตัวเรื่องจึงเพิ่มขึ้นด้วย และมันก็ท้าทายมันสมองของผู้ชมตลอดเวลา ที่นอกจากจะจดจ่ออยู่กับภารกิจของสเตลล่า...
...ในขณะเดียวกันก็ต้องทำความเข้าใจเส้นเรื่องอื่นๆ ที่อยู่เหนือหลักเหตุและผลอีกต่างหาก (เพราะการข้ามเวลาย่อมทำลายหลักเหตุและผล) ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ผลลัพธ์ คือ มะเดี่ยวพาผู้ชมไปได้ตลอดรอดฝั่งจนถึงท้ายเรื่อง อาจจะมีบางช่วงที่สั่นคลอนบ้างแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ (ยังดูรู้เรื่องอยู่)
Taklee Genesis
แต่ถึงแม้จะดูรู้เรื่องและเข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับมะเดี่ยวต้องการจะสื่อ(ในส่วนใหญ่) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแผลใหญ่อันเป็นข้อด้อยของ Taklee Genesis และภาพยนตร์ไซไฟที่ผ่านๆ มาของไทยมักประสบเหมือนกัน ก็คือ การทำให้ “เชื่อ” ซึ่งตรงนี้มีทั้งส่วนที่น่าเห็นใจและส่วนที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ ส่วนที่น่าเห็นใจ คือ ด้วยความที่คอนเซ็ปต์ของ Taklee นั้น “ทะเยอทะยาน” มากเสียจนเป็นเรื่องยากที่จะสร้างฉากเหล่านั้นออกมาได้สมจริง หรืออย่างน้อยๆ ก็ใกล้เคียงกับที่ภาพยนตร์จากฮอลลิวูดทำได้
Taklee Genesis
ความต่างนี้หากเทียบกับภาพยนตร์มาสเตอร์พีชของคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ อย่าง Interstellar(2014) ที่ใช้ทุนสร้างถึง 165 ล้านดอลลาร์ฯ ในขณะที่ Taklee มีทุนสร้างราวๆ 60 ล้านบาท หรือประมาณ 1.8-2 ล้านดอลลาร์ฯ เท่านั้น (ต่างกันเกือบ100 เท่า) ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง ทั้งฉากความล่มสลาย สงครามกลางเมือง หรือสัตว์ประหลาดบุกเมือง จึงเป็นแค่ฉากหลังไกลๆ ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับตัวละครมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแย่จนดูไม่ได้เลย เพราะตัว CGI ของลูกบอลข้ามเวลา หรือแรปเตอร์ที่หลุดข้ามมิติ...
...ก็ยังมีความน่าเชื่อถือและอยู่ในมาตรฐานที่ยอมรับได้เลยด้วยซ้ำ
Taklee Genesis
แต่การเนรมิตชุมชนบ้านเชียงและคอนเซ็ปต์ของ “นิว อุดร” โลกอนาคตที่ล่มสลายของ Taklee Genesis กลับมีปัญหาที่กลายเป็นการฉุดตัวหนังลงไปพอสมควร ทั้งสถานที่เอย เสื้อผ้าหน้าผมเอย การแสดงเอย มันยังไม่อยู่ในจุดที่จะทำให้ผู้ชมยอมรับได้ว่า ฉากเหล่านี้มันคือช่วงเวลาเหล่านั้นจริงๆ ความรู้สึกที่ได้ของฉากเหล่านี้ คือคำว่า “จัดฉาก” ซึ่งปัญหาตรงนี้ไม่ได้เกิดจาก CGI แล้ว แต่เป็นปัญหาเรื่องทุนสร้างมากกว่า
Taklee Genesis
ในส่วนของบ้านเชียงยังพอรับได้ แต่ “นิว อุดร” ค่อนข้างมีปัญหา เพราะมันแสดงถึงวิสัยทัศน์ที่ค่อนข้าง “เชย” ถ้าเป็นวิสัยทัศน์ของหนังเมื่อ 30-40 ปีก่อนก็ยังคงพอได้ แต่ในปี 2024 การได้เห็นอะไรแบบนี้ซ้ำๆ จากผลงานไซไฟของไทยทั้งจาก “Postman ไปรษณีย์ 4 โลก” และ “สลิธ โปรเจกต์ล่า” ที่ฉายเมื่อปีที่แล้ว และก็มาในคอนเซ็ปต์ใกล้ๆ กันนี้ มันจึงค่อนข้างน่าเป็นห่วงไม่น้อย (เดาไม่ยากว่าผลลัพธ์ของทั้งสองเรื่องเป็นอย่างไร)
Taklee Genesis
และส่วนที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับทุนสร้างแล้ว และมันทำลายความน่าเชื่อถือของหนังมากกว่าที่กล่าวมา ทั้งหมด มันคือ บทพูดของตัวละคร (dialogue) ที่ขาดความเป็นธรรมชาติ อารมณ์เหมือนเอาบทภาษาอังกฤษมาแปลเป็นไทยแล้วใช้เลยแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตัวผู้กำกับและทีมงานเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย (ดูได้จากเอ็นเครดิต) ปัญหาถัดจากนั้นเลยไปตกที่ตัวนักแสดงที่ต้องพูดบทเหล่านี้ออกมาแบบไม่เข้าปาก มันเลยฉุดการแสดงของพวกเขาไปด้วยแบบจังๆ (ไม่ได้ติดเรื่องที่สเตลล่าต้องพูดไทยคำอังกฤษคำเพราะเข้าใจได้ว่าเป็นลูกครึ่ง)
Taklee Genesis
ซึ่งบทพูดแข็งๆ นี้ก็ยังเปิดแผลสำคัญอีกแผลที่น่าอึดอัดใจ ซึ่งก็คือ ตัวละคร น่าแปลกใจที่มะเดี่ยวไม่สามารถสร้างตัวละครให้ประทับใจผู้ชมได้ พูดตรงๆ เลย คือ ตัวของสเตลล่า ที่รับบทโดย พอลล่า เทย์เลอร์ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างมีปัญหา การแสดงของเธอยังขึ้นๆ ลงๆ และไม่มีพลังมากพอจะแบกรับความมโหฬารของเรื่องราวไว้ได้ มันก็เป็นผลมาจากทั้งตัวนักแสดงเอง บทพูด และการพัฒนาตัวละคร ที่มีจุดน่าตลกเอามากๆ อย่างการตกงานของสเตลล่าที่มาจากปัญหาเรื่องดาวเคราะห์ 8 ดวงหรือ 9 ดวง มันชวนให้ขำก๊ากจริงๆ
Taklee Genesis
หนำซ้ำตัวหนังยังใช้มัน(การทำงานในองค์กรวิทยาศาสตร์) เพื่อบอกเล่าว่าสเตลล่าจะต้องเข้าใจวิทยาศาสตร์ขั้นสูง อย่างกลศาสตร์ควอนตัม หรือทฤษฏีกาลเวลาทั้งหลาย เพราะตัวละครนี้ดูไม่ตกใจและไปด้วยกันได้อย่างรวดเร็วกับลูกบอลข้ามเวลา แถมยังสนทนาภาษาวิทย์เนิร์ดๆ กับตัวละครในอนาคตแบบหน้าตาเฉย แสดงว่าตัวละครนี้จบไม่ต่ำกว่าปริญญาเอกในสาขาฟิสิกส์แน่ๆ...
...แต่ความรู้ระดับนี้กลับมานั่งเครียดในร้าน KFC ว่า คืนนี้จะนอนที่ไหนดีเพราะถูกไล่ออกจากงาน (เช่าโรงแรมถูกๆ สักคืนก็น่าจะได้นะ) นี่ยังไม่รวมนิสัยที่ชอบบ่นลูกตัวเอง “วาเลน” (นีน่า ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน) ว่าเป็นภาระ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร (หมายถึงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการสร้างนิสัยนี้ให้กับตัวละคร)
Taklee Genesis
ตัวละครที่เหลือก็ต่างดูผิดที่ผิดทางไปหมด ทั้งอิษฐ์ (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล) เพื่อนสมัยเด็กของสเตลล่าที่กลายเป็นครูประจำหมู่บ้าน ผู้ใหญ่จำนูญ (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล) และก้อง (วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์) ลูกชายของเขา ทุกคนมีบทพูดที่แข็งไม่ต่างกัน การกระทำและการตัดสินใจของตัวละครล้วนแต่ทำให้ผู้ชมรู้สึกขัดใจอยู่ตลอดเวลา...
...แม้กระทั่งมนุษย์จากบ้านเชียงที่รับบทโดย ทราย-เจริญปุระ ก็ยังไม่เรียกได้ว่าเป็นการแสดงที่ดีสักเท่าไหร่ คงต้องมองย้อนไปที่ตัวผู้กำกับเองว่า ทำไมเขาจึงใช้นักแสดงคุณภาพได้ออกมาเป็นมือสมัครเล่นแบบนี้
Taklee Genesis
ไม่น่าเชื่อว่าคนเดียวที่ใช้คำว่า “ผ่าน” ได้จริงๆ กลับเป็นน้อง นีน่า-ณัฐชา นักแสดงเด็กที่ไม่ว่าจะภาษาไทยหรืออังกฤษ น้องก็พูดได้เข้าปากแบบไม่มีเขิน อีกทั้งการใช้สีหน้าแววตา ท่าทางการแสดง ก็ล้วนไปได้ดีและกลมกลืนกับตัวหนัง พูดง่ายๆ คือเป็นธรรมชาติมากกว่าคนอื่นๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่จะเป็นเพชรเม็ดงามในอนาคตอย่างแน่นอน
Taklee Genesis
มีแผลที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยสำหรับงานระดับผู้กำกับมะเดี่ยว เป็นแผลในระดับมือสมัครเล่นมากๆ อย่างการใช้เสียงประกอบฉาก มีจังหวะที่ตัวละครหยอดมุกใส่กันแล้วเสียงประกอบฉากก็ดังรับมุกนั้นหน้าตาเฉย หากอยู่ในสื่อพวกละครหรือรายการตลกในทีวีหรือไม่ก็คลิปยูทูปเบอร์ทั้งหลายก็คงไม่เป็นอะไร แต่การทำแบบนี้ในภาพยนตร์เป็นเรื่องต้องห้ามจริงๆ เพราะมันจะทำลายความน่าเชื่อถือ(ที่มีน้อยอยู่แล้ว)ลงไป ยังไม่นับรวมดนตรีกุ๊งกิ๊ก เบาอารมณ์ ที่ใส่มาแบบ ชวนให้สบถออกมาตอนได้ยินเลยว่า “อะไรวะเนี่ย”
Taklee Genesis
น่าเสียดายจริงๆ ที่ Taklee Genesis เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ที่กลบข้อดีหลายอย่างทั้งการถ่ายภาพที่ดูพิถีพิถันไม่หยอกถึงขนาดสามารถฉายในระบบ IMAX ได้ มีหลายฉากที่ภาษาภาพค่อนข้างทรงพลัง ช็อต CGI ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ “ลอย” จนน่าเกลียด บวกกับบางช่วงที่ใช้เสียงบรรยายของเจนจิรา พงศ์พัศ นักแสดงรุ่นใหญ่ขาประจำของผู้กำกับเจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่บรรยายหลักการทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ในรูปแบบภาษาอีสานที่ก็ให้ความรู้สึกขลังอย่างบอกไม่ถูก
Taklee Genesis
ช่วงแรกประมาณ 15 - 20 นาทีแรกของ Taklee นั้นชวนให้นึกถึง “บ่มีวันจาก” ภาพยนตร์ทริลเลอร์-ไซไฟน้ำดีจากประเทศลาว ของผู้กำกับหญิงแมตตี้ โด ที่คล้ายกันมากในการนำเสนอความผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อไสยศาสตร์ ภายใต้บรรยากาศแบบ “บ้านเรา” ที่ดูลึกลับน่าสนใจและมีเอกลักษณ์ในแบบที่ฝรั่งทำไม่ได้แน่ๆ (Vilouna Phetmany นักแสดงนำจาก บ่มีวันจาก ก็ร่วมแสดงใน Taklee ด้วยเช่นกัน)
Taklee Genesis
กลายเป็นว่าเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป โทนหนังก็เริ่มเปลี่ยนไปจากความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ดูมีความเป็นไปได้ ขยับข้ามไปเป็นความแฟนตาซีที่ความน่าเชื่อถือลดลง ประกอบกับแผลต่างๆ ที่เปิดออกมาหยุดหย่อน ปิดท้ายด้วยการเมืองและปรัชญาเบาๆ ที่น่าจะเป็นจุดหมายที่มะเดี่ยวต้องการจะสื่อ ทำให้ Taklee Genesis กลายเป็นต้มยำรวมมิตรที่พอเอาช้อนตักขึ้นมาดูจะเจอได้ทั้ง หมู ไก่ หมึก กุ้ง แล้วควานไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ กระเพาะปลา ไข่เยี่ยวม้า หรือแม้กระทั่งเห็ดหลินจือ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามาได้ยังไงเหมือนกัน
Taklee Genesis
โฆษณา