30 ก.ย. เวลา 03:30 • ธุรกิจ

2 ธุรกิจครอบครัว กลุ่มทุนใหญ่ ที่ครอบงำ เศรษฐกิจอินเดีย

อินเดีย เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก
แต่หลายคนอาจแปลกใจ ถ้ารู้ว่าเบื้องหลังความยิ่งใหญ่นี้
มีตัวละครที่มาจากครอบครัวเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้น
และอาจแปลกใจเข้าไปอีก หากรู้ว่าตัวละครลับเพียงแค่หยิบมือนี้ ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนอินเดีย ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน
แล้วกลุ่มทุนใหญ่ ตัวละครลับ มีใครบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ปัจจุบัน อินเดียมีกลุ่มทุนใหญ่ ที่มาจากธุรกิจครอบครัวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- Reliance Industries ของกลุ่มครอบครัว Ambani
- Adani Enterprises ของกลุ่มครอบครัว Adani
- Bajaj Group ของกลุ่มครอบครัว Bajaj
- Tata Group ของกลุ่มครอบครัว Tata
- Aditya Birla Group ของกลุ่มครอบครัว Birla
โดยธุรกิจของครอบครัวเหล่านี้ เรียกได้ว่าครอบคลุมธุรกิจเกือบทุกอุตสาหกรรมในอินเดีย ตั้งแต่ ค้าปลีก, รถสามล้อ, รถยนต์, เหมืองแร่, โทรคมนาคม,
ท่าเรือ, สนามบิน ไปจนถึงถนนหนทางต่าง ๆ
แต่ทั้งหมดนี้ ไม่มีธุรกิจครอบครัวไหน ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่ากลุ่มทุนยักษ์ใหญ่จาก 2 ครอบครัว ที่ชื่อว่า Ambani และ Adani อีกแล้ว
1
กลุ่ม Ambani เริ่มต้นธุรกิจ Reliance Industries
ด้วยการทำธุรกิจเส้นใยสิ่งทอเล็ก ๆ ที่เมืองมุมไบ
เมื่อปี 1957 (67 ปีที่แล้ว) ในช่วงที่อินเดียพัฒนาประเทศใหม่ ๆ
แต่ในช่วงแรก รัฐบาลอินเดีย ใช้การพัฒนาอุตสาหกรรมชี้นำ ด้วยการสั่งให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องผลิตอะไร จำนวนเท่าไร เพื่อลดการนำเข้าจากต่างชาติ
1
และใช้ธนาคารของรัฐอย่าง ICICI เป็นช่องทางให้เอกชน เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อขยายธุรกิจของตัวเองได้
ส่วนธุรกิจที่สำคัญ ๆ ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนอินเดีย รัฐบาลจะเข้ามาทำธุรกิจตรงนี้โดยตรงแทน
แต่สุดท้าย เราก็รู้ดีว่า กิจการที่ผูกขาดและแบกไว้โดยรัฐ มักขาดทุนและไม่ค่อยได้กำไร
นั่นจึงทำให้รัฐบาลอินเดีย ตัดสินใจกลับลำ
และอนุญาตให้เอกชนเข้ามาทำธุรกิจที่รัฐเคยทำมากขึ้น
ทำให้ในช่วงปี 1980 หลังจากได้ไฟเขียวจากรัฐบาล Reliance Industries ก็ตัดสินใจรุกเข้าธุรกิจปิโตรเคมี เพื่อต่อยอดการทำเส้นใยสังเคราะห์จากปิโตรเลียม
แถมรัฐบาลอินเดีย ยังปรับขึ้นสินค้านำเข้าบางชนิด ทำให้ Reliance Industries ได้เปรียบเรื่องต้นทุนการผลิตมากขึ้นไปอีก
จากธุรกิจตัวเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีใครรู้จัก มาวันนี้ Reliance Industries กลายเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่มีทั้งธุรกิจปิโตรเคมี, ค้าปลีก, มีเดีย และการสื่อสาร ภายใต้ชื่อ “Jio” ซึ่งธุรกิจหลังสุด ครองตลาดเครือข่ายมือถือเกือบ 40% ของทั้งประเทศ
1
ที่น่าสนใจคือ หลังปี 2018 Reliance Industries กลายเป็นบริษัทที่มียอดขายคิดเป็น 15% ของยอดขายกลุ่มบริษัททั้งหมดในอินเดีย..
แซงหน้า Tata Group ที่เคยเป็นแชมป์ยอดขายมากที่สุดมาตั้งแต่ปี 1990
และปัจจุบัน Reliance Industries ยังคงเป็นบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศไม่เปลี่ยน
นอกจาก Reliance Industries แล้ว อีกกลุ่มหนึ่งที่มีอิทธิพลกับเศรษฐกิจอินเดียอย่างมาก นั่นคือ Adani
Gautam Adani เริ่มต้นธุรกิจของตัวเองในช่วงที่รัฐบาลอินเดีย เริ่มอนุญาตให้เอกชนเข้ามาแข่งขันได้ ทำให้เขาก่อตั้งธุรกิจนำเข้าและส่งออกในปี 1988
2
ซึ่งหลังจากที่อินเดียเปิดเสรีทางการค้ามากขึ้น Adani ก็เห็นโอกาสว่า ต่อไปอินเดียต้องมีโครงสร้างพื้นฐานจำเป็น เพื่อรองรับการเข้ามาของทุนต่างชาติมากขึ้น
ในปี 1994 โอกาสก็มาถึง เมื่อรัฐบาลคุชราต กำลังมองหาบริษัทเอกชน มาบริหารท่าเรือมุนดรา
Adani ก็ไม่รอช้า ที่จะคว้าสัญญาสัมปทานตรงนี้ และสามารถทำได้สำเร็จ
จากจุดนี้เอง ทำให้ Adani เริ่มมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอินเดียมากขึ้นเรื่อย ๆ ไล่ตั้งแต่โรงไฟฟ้า, ท่าเรือ, สนามบิน ไปจนถึงถนนหนทางต่าง ๆ
1
ปัจจุบัน Adani Enterprises เป็นเจ้าของสนามบินมากถึง 8 แห่ง ครองส่วนแบ่งตลาดผู้โดยสารราว 1 ใน 4 และการขนส่งสินค้ากว่า 3 ใน 10 ของทั้งประเทศ
1
นอกจากนี้ Adani ยังได้ไฟเขียวจากรัฐบาล เพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์ จนตอนนี้กลายเป็นธุรกิจพลังงานหมุนเวียนใหญ่ที่สุดในอินเดียไปแล้ว
2
ถึงตรงนี้ ก็คงสงสัยกันว่า แล้วทำไม Reliance Industries และ Adani Group ถึงไม่โดนกฎหมายผูกขาด ?
ต้องบอกว่า ในช่วงที่รัฐบาลยังผูกขาดกิจการสำคัญ ๆ
กฎหมายผูกขาดของอินเดีย เขียนไว้ชัดเจนว่า
ห้ามธุรกิจเอกชนทำตัวผูกขาดในกิจการไหนเลย
1
แต่ต่อมา หลังจากที่อินเดียเปิดเสรีทางการค้ามากขึ้น
กฎหมายผูกขาดเลยถูกออกแบบใหม่ ไม่ได้ห้ามผูกขาด
แต่ห้ามใช้อำนาจเหนือตลาด ไปกีดกันคู่แข่งหน้าใหม่แทน
2
และกฎหมายผูกขาดของอินเดีย ยังมีช่องโหว่ว่า
ถ้าการทำธุรกิจนั้น มีส่วนสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจอินเดีย ก็จะไม่เข้าข่ายการผูกขาดอีกด้วย..
พอเป็นแบบนี้ เท่ากับว่า ถ้าธุรกิจยักษ์ใหญ่ไม่ได้ใช้ความเป็นผู้นำตลาด ไปกีดกันคู่แข่งหน้าใหม่ ไม่ให้เข้ามาแข่งขัน หรือมีการทำธุรกิจที่รัฐมองว่า ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ
ก็อาจไม่เข้าข่ายผิดกฎหมายผูกขาด
แม้การทำแบบนี้ จะช่วยให้อินเดียสามารถส่งเสริมการทำธุรกิจในประเทศได้อย่างดี แต่ก็แลกมาด้วยอำนาจของบริษัทใหญ่ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะในกรณีของ Adani Group ที่มีสายสัมพันธ์กับโมดี นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอินเดีย มาตั้งแต่โมดี ยังเป็นมุขยมนตรีหรือผู้ปกครองรัฐคุชราต เมื่อปี 2002
2
ซึ่งทำให้มีการเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า สายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ Adani Group กำลังมีอำนาจเข้าถึงสัมปทานของโครงการรัฐบาลอินเดีย เหนือกว่าคู่แข่งหรือไม่
1
แต่เมื่อสามารถทำธุรกิจไปได้ยาว ๆ แถมอินเดียยังได้ยกเลิกกฎหมายภาษีมรดก มาตั้งแต่ปี 1985
ทำให้ผู้รับมรดก ไม่ต้องจ่ายภาษีสำหรับทรัพย์สินที่ได้รับโดยตรง
ธุรกิจครอบครัวยักษ์ใหญ่ในอินเดีย จึงถูกส่งผ่านความมั่งคั่งไปได้เรื่อย ๆ มาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้ ก็คือเรื่องราวของธุรกิจครอบครัวในอินเดีย
โดยเฉพาะกลุ่ม Ambani และ Adani ที่กำลังครอบงำเศรษฐกิจอินเดียอยู่ในตอนนี้
และยิ่งขุดรากฝังลึกความเหลื่อมล้ำของอินเดียไปอีก เพราะความมั่งคั่งของ Mukesh Ambani มีมากถึง 3.8 ล้านล้านบาท ร่ำรวยเป็นอันดับ 12 ของโลก
และ Gautam Adani มีมากถึง 2.8 ล้านล้านบาท ร่ำรวยเป็นอันดับ 21 ของโลก
มูลค่าทรัพย์สินของ 2 คนนี้ ก็ปาไป 6.6 ล้านล้านบาทแล้ว
ซึ่งคิดเป็น 5.7% ของ GDP อินเดีย ทั้งปี 2023 ที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน ภาพนี้ ที่ธุรกิจครอบครัว กลุ่มทุนใหญ่ กำลังครอบงำเศรษฐกิจของประเทศ
ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่อินเดียเท่านั้น
แต่ได้เกิดขึ้นแล้วกับหลาย ๆ ประเทศในทวีปเอเชีย..
4
โฆษณา