27 ก.ย. เวลา 16:28 • การเมือง
BangkokThailand

วัฒนธรรมดนตรีในแต่ละยุคกับการเปลี่ยนไปของการเมือง

ในปัจจุบันหลากหลายประเทศมีสถานการณ์ทางการเมืองที่ค่อนข้างหลากหลาย อีกทั้งบางประเทศมีความขัดแย้งทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองอีกหนึ่งอย่างของนักเรียกร้องสิทธิคือการเขียนเพลงหรือการแต่งเพลงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ซึ่งมีให้เห็นมากมายในหลากหลายประเทศ อีกทั้งศิลปินที่แต่งเพลงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลก็เป็นอีกหนึ่งนักขับเคลื่อนทางการเมือง
การเมืองและดนตรีมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งและซับซ้อนในหลายแง่มุม ดนตรีเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารอุดมการณ์ ความคิด และความรู้สึกของประชาชน และสามารถเป็นเสียงสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองได้ดี ดนตรีหลายประเภท เช่น เพลงเพื่อชีวิต เพลงปฏิวัติ หรือแม้แต่เพลงแร็ป ได้ถูกใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐ ต่อต้านอำนาจเผด็จการ หรือปลุกระดมให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคม
ในขณะเดียวกัน การเมืองก็มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ดนตรีในแง่ของการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกผ่านกฎหมายหรือการควบคุมสื่อ เช่น การเซ็นเซอร์เพลงหรือศิลปินที่มีเนื้อหาขัดกับนโยบายรัฐ หรือการสนับสนุนศิลปินหรือเพลงที่สนับสนุนการปกครอง
ดนตรีสามารถเป็นทั้งเครื่องมือของการต่อต้านและการสนับสนุนทางการเมือง ขึ้นอยู่กับผู้สร้างสรรค์และบริบทของสังคมนั้น ๆ
การเมืองกับดนตรีมักจะผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์นี้ได้ชัดเจน ได้แก่:
1. เพลงเพื่อชีวิตในประเทศไทย
เพลงเพื่อชีวิตเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ดนตรีเพื่อวิพากษ์การเมืองและสังคมในไทย เช่น เพลงของวงคาราวาน และคาราบาว ที่สื่อถึงการต่อสู้ของชนชั้นแรงงาน การต่อต้านเผด็จการ และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะในช่วงยุค 1970-1980 ที่มีเหตุการณ์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา ซึ่งเป็นช่วงที่การเมืองไทยตึงเครียดและเกิดความขัดแย้งทางสังคมอย่างหนัก
2. Bob Dylan และการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองในสหรัฐอเมริกา
Bob Dylan ศิลปินชาวอเมริกันเป็นหนึ่งในผู้สร้างสรรค์ดนตรีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองและการต่อต้านสงครามในยุค 1960 เพลงของเขา เช่น Blowin' in the Wind และ The Times They Are A-Changin' กลายเป็นเพลงที่ถูกใช้ในขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของคนผิวดำและการต่อต้านสงครามเวียดนาม
3. เพลงแร็ปกับการเมืองในสหรัฐอเมริกา
ดนตรีแร็ปมักสะท้อนปัญหาสังคม การเมือง และความอยุติธรรม เช่น เพลงของศิลปินแร็ปอย่าง Public Enemy ที่มีเพลง Fight the Power ซึ่งวิพากษ์สังคมอเมริกันเกี่ยวกับการเหยียดสีผิวและการกดขี่ ขณะที่ Tupac Shakur และ Kendrick Lamar ยังได้สื่อสารความเจ็บปวดและความโกรธของชุมชนคนผิวสีที่ถูกกดขี่ผ่านเพลงแร็ปด้วย
4. เพลงร็อกและการต่อต้านสงครามเวียดนาม
ในช่วงสงครามเวียดนาม ดนตรีร็อกมีบทบาทสำคัญในการเป็นเสียงสะท้อนของผู้คนที่ต่อต้านสงคราม เช่น วง Creedence Clearwater Revival กับเพลง "Fortunate Son" ที่วิจารณ์การที่ลูกหลานของคนชั้นสูงมักไม่ต้องไปรบในสงคราม ขณะที่คนชนชั้นล่างถูกเกณฑ์ไปแทน
5. เพลงปฏิวัติในลาตินอเมริกา
ในหลายประเทศของลาตินอเมริกา เช่น คิวบา ชิลี และอาร์เจนตินา ดนตรีมักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมประชาชนในช่วงปฏิวัติหรือการต่อต้านเผด็จการ เช่น เพลงของ Víctor Jara ในชิลีที่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการของ Augusto Pinochet
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าดนตรีไม่เพียงแต่เป็นศิลปะเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงและสะท้อนความเป็นไปของสังคมและการเมืองได้อย่างมีนัยสำคัญ
โฆษณา