29 ก.ย. เวลา 01:33 • ธุรกิจ

Apple Music กับ Spotify ทำเงินอย่างไร ศิลปินได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่?

บริการสตรีมมิ่งเพลงอย่าง Spotify และ Apple Music ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มหลักในการฟังเพลงสำหรับคนทั่วโลก ด้วยความสะดวกสบายในการเข้าถึงเพลงที่หลากหลายจากทุกมุมโลก ผู้ฟังสามารถเลือกฟังเพลงที่ชอบได้ทุกที่ทุกเวลา แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า บริการเหล่านี้ทำเงินได้อย่างไร และศิลปินที่เราชื่นชอบจะได้รับส่วนแบ่งเท่าไหร่จากการสตรีมเพลงของพวกเขา?
====
1. การทำเงินของ Spotify และ Apple Music
ทั้ง Spotify และ Apple Music ใช้โมเดลธุรกิจที่เน้นการสร้างรายได้จากสองแหล่งหลักคือ:
- ค่าสมาชิก (Subscription Fees): ผู้ใช้บริการสามารถสมัครเป็นสมาชิกแบบชำระเงินรายเดือนเพื่อเข้าถึงเนื้อหาเพลงแบบไม่มีโฆษณา คุณภาพเสียงที่ดีกว่า และฟีเจอร์พิเศษอื่นๆ สำหรับ Spotify แพ็กเกจนี้เรียกว่า "Spotify Premium" ส่วน Apple Music ไม่มีบริการฟรีที่มีโฆษณา ผู้ใช้ทุกคนต้องชำระค่าสมาชิกจึงจะสามารถเข้าถึงคลังเพลงได้
- รายได้จากโฆษณา (Advertising Revenue): ในกรณีของ Spotify ยังมีบริการฟรีที่ผู้ใช้สามารถฟังเพลงได้โดยมีโฆษณาคั่น ซึ่งรายได้จากโฆษณานี้จะถูกนำมารวมกับรายได้จากค่าสมาชิกเพื่อเป็นกองกลางในการจ่ายให้ศิลปินและค่ายเพลง
====
2. การจ่ายเงินให้ศิลปินและค่ายเพลง
บริการสตรีมมิ่งเพลงมีการจ่ายเงินให้กับศิลปินและค่ายเพลงผ่านระบบที่ซับซ้อน ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละแพลตฟอร์ม:
- การจ่ายเงินตามสัดส่วนการสตรีม (Pro Rata Model): ทั้ง Spotify และ Apple Music ใช้โมเดลการจ่ายเงินที่คล้ายคลึงกัน คือการจ่ายเงินตามสัดส่วนของจำนวนการสตรีมเพลง ตัวอย่างเช่น หากในเดือนหนึ่งๆ มีการสตรีมเพลงทั้งหมด 10 พันล้านครั้ง และเพลงของศิลปินคนหนึ่งถูกสตรีม 10 ล้านครั้ง ศิลปินนั้นจะได้รับรายได้จากการสตรีมคิดเป็น 0.1% ของรายได้ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่าย
- จำนวนเงินต่อการสตรีม (Per-Stream Payment): โดยทั่วไปแล้ว ศิลปินจะได้รับเงินประมาณ 0.003 ถึง 0.005 ดอลลาร์สหรัฐต่อการสตรีมหนึ่งครั้ง ซึ่งอาจดูเหมือนน้อยมาก แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากศิลปินจะต้องแบ่งรายได้นี้ให้กับค่ายเพลง ผู้แต่งเพลง และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ตามสัญญาที่ได้ทำไว้
- ข้อตกลงการจ่ายเงินโดยตรง (Direct Licensing Agreements): ในบางกรณี Apple Music อาจทำข้อตกลงการจ่ายเงินโดยตรงกับศิลปินหรือค่ายเพลงใหญ่ๆ ทำให้การแบ่งรายได้สามารถปรับได้ตามที่ตกลงกัน ซึ่งอาจจะดีกว่าการจ่ายเงินตามสัดส่วนการสตรีมโดยทั่วไป
====
3. ศิลปินได้รับส่วนแบ่งเท่าไหร่?
การที่ศิลปินจะได้รับรายได้มากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย:
- ความนิยมของเพลง: ยิ่งเพลงได้รับการสตรีมมากเท่าไหร่ รายได้ที่ศิลปินจะได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ทั้งนี้ ศิลปินที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลักหรือมีฐานแฟนคลับไม่มากมักจะได้รับเงินน้อยกว่า
- สัญญากับค่ายเพลง: ศิลปินที่ทำสัญญากับค่ายเพลงจะต้องแบ่งรายได้ให้กับค่ายตามข้อตกลงที่ได้ทำไว้ ซึ่งบางครั้งศิลปินอาจได้รับเงินเพียงเล็กน้อยหลังจากหักค่าใช้จ่ายและส่วนแบ่งต่างๆ
- ศิลปินอิสระ (Independent Artists): ศิลปินที่เผยแพร่ผลงานของตัวเองโดยไม่ผ่านค่ายเพลงจะได้รับเงินมากกว่าต่อการสตรีมหนึ่งครั้ง เนื่องจากไม่ต้องแบ่งรายได้ให้กับค่ายเพลง แต่ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับข้อตกลงที่ทำไว้กับผู้ให้บริการสตรีมมิ่งด้วย
====
4. ความแตกต่างระหว่าง Spotify และ Apple Music
แม้ว่าทั้งสองบริการจะมีโมเดลธุรกิจที่คล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างบางประการที่น่าสนใจ:
- Spotify: มีบริการแบบฟรีที่ผู้ใช้สามารถฟังเพลงได้โดยมีโฆษณาคั่น ซึ่งทำให้มีฐานผู้ใช้จำนวนมากและรายได้จากโฆษณาเพิ่มเติม แต่การจ่ายเงินต่อการสตรีมจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ Apple Music เนื่องจากมีผู้ใช้ฟรีเป็นจำนวนมาก
- Apple Music: มีเพียงบริการแบบชำระเงินเท่านั้น ทำให้รายได้ต่อการสตรีมสูงกว่าเล็กน้อย นอกจากนี้ Apple Music มักจะมีข้อตกลงกับศิลปินและค่ายเพลงใหญ่ๆ โดยตรง ทำให้ศิลปินอาจได้รับส่วนแบ่งที่ดีกว่าในบางกรณี
====
สรุป
Spotify และ Apple Music ใช้โมเดลธุรกิจที่แตกต่างกันในบางด้าน แต่เป้าหมายหลักของทั้งสองคือการสร้างประสบการณ์การฟังเพลงที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้และสร้างรายได้ให้กับศิลปินและค่ายเพลง แม้ว่าศิลปินจะได้รับเงินต่อการสตรีมที่น้อยมาก แต่บริการสตรีมมิ่งก็ยังคงเป็นช่องทางที่สำคัญในการเผยแพร่ผลงานและสร้างฐานแฟนคลับได้ทั่วโลก การพัฒนาระบบการจ่ายเงินที่เป็นธรรมและโปร่งใสยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญของอุตสาหกรรมดนตรีในยุคดิจิทัลนี้
#KnowledgeSpiral #Spotify #applemusic #businessmodel #RevenueModel
โฆษณา