Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BobBoy
•
ติดตาม
29 ก.ย. เวลา 06:26 • นิยาย เรื่องสั้น
กรุงเทพมหานคร
เรื่องสั้น กระสุนปืนของพ่อ
แม้การอาศัยอยู่ในเขตเมืองจะสุขสบายและปลอดภัย แต่มาร์คกลับตัดสินใจเลี้ยงดูมิลเลอร์ ลูกชายวัยเจ็ดขวบของเขาให้เติบโตมาในฐานะนายพรานรุ่นที่สองของตระกูลฮันต์ ท่ามกลางป่าสนนอกเขตเมือง
ก่อนที่มาร์คจะย้ายมาอยู่ในป่า เขาเคยอาศัยในเมืองและประกอบอาชีพเป็นบุรุษไปรษณีย์ โดยใช้นามว่า มาร์ค ดรอย ครั้งหนึ่ง ขณะมาร์คเดินทางไปส่งจดหมายในเขตท่าเรือฝั่งตะวันออกของเมือง เขาบังเอิญพบรักกับมินนี่ เวล ลูกสาวของนายคลีตัน เวล เจ้าของท่าเรือผู้มีอารมณ์ร้อนและเกลียดคนจน มาร์คและมินนี่แอบคบหาดูใจกันอยู่หลายเดือน ชีวิตรักของทั้งคู่ดูเหมือนโปรยด้วยกลีบกุหลาบ
แต่ทว่าไม่นานหลังจากนั้น มาร์คถูกประณามจากชาวเมืองว่าเป็นชายผู้ทำลายอนาคตของหญิงสาว เมื่อมินนี่ เวล ผู้ซึ่งยังไม่ผ่านพิธีสมรสได้ตั้งครรภ์ และเมื่อเธอรู้ตัวว่ามีเด็กในท้อง อายุครรภ์ก็มากกว่า 16 สัปดาห์เสียแล้ว มาร์คตั้งใจจะสารภาพกับบิดาของหญิงสาวและขอแต่งงานตามประเพณี แต่กลับถูกผลักไสและเหยียดหยามว่าเป็นสุนัขโสโครกที่เข้ามาทำลายชีวิตของลูกสาวสุดที่รัก
คลีตันบังคับให้มินนี่ยอมรับและประกาศว่าเธอถูกบุรุษไปรษณีย์ใจทรามขืนใจ แม้เธอจะไม่ได้ขัดคำสั่งของพ่อ แต่เธอร้องขอว่าได้โปรดให้เด็กทารกได้เกิดมา โดยให้มาร์ค ดรอย เป็นผู้เลี้ยงดูเพียงผู้เดียว และเธอสัญญาว่าจะไม่ติดต่อกับมาร์คอีก
เมื่อเด็กน้อยคลอดออกมา ยังไม่ทันที่ผู้เป็นแม่จะได้เห็นหน้าหรือแม้แต่รู้เพศของลูกน้อย หมอตำแยก็จับเด็กทารกใส่กล่องและรีบส่งต่อให้มาร์ค ดรอย เรื่องราวความสัมพันธ์ของมาร์คและมินนี่แพร่สะพัดไปทั่วเมือง จากปากต่อปาก หลังจากนั้นไม่มีชายใดเลยที่อยากเข้าหามินนี่ เวล เธอเดินทางไปไหนมาไหนก็มีแต่คนซุบซิบนินทา แม้ผู้เป็นพ่อจะพยายามอธิบายว่าลูกสาวตนโดนขืนใจ ลูกสาวตนบริสุทธิ์ เธอยังคงคู่ควรที่จะได้แต่งงานกับคนดี ๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ
ชีวิตของมาร์ค ดรอย ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เขาถูกไล่ออกจากงาน ถูกพ่อบังเกิดเกล้าตัดขาด และถูกสังคมรังเกียจ แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่เขาก็พยายามเลี้ยงดูเด็กน้อยเพศชายอย่างสุดความสามารถด้วยเงินเก็บที่เหลืออยู่ แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในระยะยาว มาร์คทนกับชีวิตในเมืองไม่ไหว ชีวิตของเขาในฐานะลูกชายตระกูลดรอยจบสิ้นแล้ว เขาตัดสินใจพาลูกย้ายเข้าไปอยู่ในป่า ลงแรงเสียเงินกับอุปกรณ์งานช่างเพื่อสร้างบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ขึ้นมา และเปลี่ยนชื่อเป็นมาร์ค ฮันต์ พร้อมตั้งชื่อเด็กชายว่ามิลเลอร์ ฮันต์
มาร์คใช้มีดกรีดใบหน้าของตนเองหลายแผลให้มีรอยตำหนิ และเริ่มไว้หนวดเคราเพื่อลบชื่อและชีวิตเก่าทิ้งไป ทุกวัน มาร์คจะเข้าป่าพร้อมกับปืนยาวคู่ใจเพื่อล่าสัตว์นำมาทำอาหาร และเก็บผลไม้ป่ามาบดให้ลูกชายทาน เขาไม่เก่งนักกับการเลี้ยงดูเด็ก จึงเลี้ยงถูกบ้างผิดบ้าง แต่เขาก็ทำหน้าที่พ่อได้ดี
เขาไม่ออกจากป่าเลยนานถึงสองปีเต็ม ซึ่งนานพอที่เส้นผมและหนวดเคราจะยาวจนเซอร์ และเมื่อผนวกกับรอยแผลที่เต็มหน้า หากกลับเข้าไปในเมือง คงไม่มีใครจำเขาได้ มาร์คจึงเริ่มกลับเข้าเมืองเพื่อนำเนื้อและหนังสัตว์ไปขายในตลาด เงินที่ได้มาก็มากพอที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของสองพ่อลูกให้ดีขึ้น และเขาก็ได้ข่าวจากเสียงซุบซิบนินทาที่พบในเมืองว่า มินนี่ เวล ได้แต่งงานกับลูกชายพ่อค้าขนส่งเครื่องเทศที่มีฐานะดี มาร์คไม่ได้รู้สึกเสียใจ แต่กลับรู้สึกยินดีที่คนที่เขารักได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น
เวลาผ่านพ้นไป ฤดูแล้วฤดูเล่า จนมิลเลอร์ ฮันต์ อายุครบเก้าขวบ มาร์คเริ่มฝึกให้เขาล่าสัตว์ด้วยตนเอง อีกทั้งยังลงมือสอนหนังสือเด็กน้อยให้มีความรู้เหมือนเด็กในเมืองคนอื่น ๆ มิลเลอร์สนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และเมื่อมองดูรวม ๆ แล้ว ชีวิตของสองพ่อลูกเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว มาร์คหวังว่าจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป แต่ทุกอย่างพังทลายลง เมื่อมาร์คและมิลเลอร์ได้พบกับสัตว์ร้ายที่จะพรากความสุขของพวกเขาไปตลอดกาล
ครั้นยามเย็นวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างที่มาร์คและมิลเลอร์ผู้เป็นบุตรกำลังเดินทางกลับจากการล่าสัตว์ มิลเลอร์สังเกตเห็นต้นไม้ประหลาดที่มีใบสีแดงสะดุดตา ทั้งต้นออกผลเพียงผลเดียว มันดูมีเสน่ห์และมีกลิ่นหอมเย้ายวน ต่างจากผลไม้ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ผลนั้นเปล่งประกายราวกับอัญมณีสีทองอร่าม ดึงดูดสายตาของเด็กน้อย จนต้องรีบวิ่งเข้าไปชมใกล้ ๆ
เขาย่อตัวลงสูดกลิ่นหอม แล้วอดไม่ได้ที่จะเด็ดผลนั้นมากิน ลืมคำสอนของบิดาที่เตือนให้ระวังผลไม้ที่ไม่รู้จัก ดวงตาของเด็กน้อยเบิกกว้างด้วยความอัศจรรย์ในรสชาติอันแสนอร่อย แล้วหันไปบรรยายความโอชะให้ผู้เป็นบิดาฟังด้วยความตื่นเต้น แต่ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางความชะล่าใจ จู่ ๆ หมีตัวใหญ่กระโจนออกจากพงไม้ ใช้ปากคาบเข้ากลางลำตัวของมิลเลอร์ เขี้ยวคมฝังลึกลงในเนื้ออ่อนของเด็กน้อย ก่อนจะวิ่งหนีเข้าป่า
มาร์คตั้งสติ รีบคว้าปืนยาวใส่กระสุน ยกขึ้นเล็ง แล้วลั่นไกไปหนึ่งนัด เสียงปืนดังสนั่นไปทั่วป่า เจ้าหมีหยุดชะงักลงชั่วคราว ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่ปากของมันยังคงคาบร่างของเด็กน้อยไว้ มาร์ควิ่งตามไป คว้ามือลูกชายที่กำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด พยายามฉุดกระชากร่างของเด็กน้อยให้หลุดจากปากของสัตว์ร้าย
มาร์คพยายามคุมสติไม่ให้ลนลาน มือหนึ่งล้วงหยิบกระสุนนัดสุดท้ายในกระเป๋ากางเกง เขาใช้มือจับกระสุนแทงเข้ากลางลูกตาข้างซ้ายของเจ้าหมี ออกแรงย้ำ ๆ พยายามให้กระสุนฝังลึกลงไป หวังให้มันทนพิษเจ็บไม่ไหวและยอมปล่อย แต่กลับไม่เป็นผล แม้มันดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด แต่ปากกลับยิ่งกัดแน่นขึ้นจนเสียงกรีดร้องของมิลเลอร์เงียบลง มือของมาร์คยังคงจับมือลูกชายไว้แน่น แต่มือของเขาก็สั่นด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
เจ้าหมีสะบัดหัวอย่างรุนแรง มาร์คถูกเหวี่ยงกระเด็นออกห่าง พร้อมกับข้อมือของมิลเลอร์ที่หลุดติดมือของเขามา เจ้าหมีวิ่งหายไปในป่าท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มที่ค่อย ๆ มืดลง ความเงียบสงัดเข้ามาปกคลุม แทนที่เสียงกรีดร้องและความวุ่นวาย ความว่างเปล่าเกาะกุมหัวใจของมาร์ค เขานั่งทรุดอยู่ท่ามกลางป่าที่เงียบสงัด ความหวังและความฝันของเขาถูกพรากไปพร้อมกับลูกชายที่เขารักที่สุด
มาร์คนั่งนิ่ง มือกุมมือลูกชายไว้แน่นบนพื้นดินเย็นเฉียบ เขาไม่ขยับไปไหน ลมหายใจแผ่วเบา เมื่อฟ้าเริ่มมืดลง มาร์คค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินทางกลับที่พัก โดยยังคงจูงมือซีดเย็นของมิลเลอร์ไม่ปล่อย สีหน้าเขาไร้ซึ่งน้ำตา ไม่มีความเศร้า แต่เป็นใบหน้าเรียบเฉยและเหม่อลอย เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมาบาง ๆ
"เอาล่ะ นายพรานตัวน้อย มื้อเย็นวันนี้เรามีสตูเนื้อกระต่าย รีบกลับกันก่อนที่สัตว์ร้ายยามราตรีจะออกมาเถอะ"
เช้าวันรุ่งขึ้น มาร์คยังคงตื่นมาพูดคุยกับลูกชาย ทานอาหารเช้าด้วยกัน และออกไปล่าสัตว์ตามปกติ เพียงแต่การใช้ปืนของเขาลำบากกว่าเดิม เพราะเขาไม่ยอมปล่อยมือเล็กๆ ที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็น มาร์คทำเหมือนว่ามิลเลอร์ยังอยู่กับเขาตลอดเวลา ยังคงพูดสอนการล่าสัตว์ และหวังว่านายพรานตัวจิ๋วจะเติบโตเป็นยอดนายพรานในอนาคต
โดยปกติทุกสัปดาห์ มาร์คจะเข้าเมืองเพื่อขายเนื้อและหนังสัตว์กับพ่อค้าเนื้อ แต่ครั้งนี้ เมื่อพวกพ่อค้าเห็นว่าเขากำลังถือซากมือเน่าๆ พวกเขาก็ปฏิเสธการรับซื้อ และบอกให้เขาเอาซากมือสกปรก ๆ ออกไปให้ห่าง ๆ จากร้าน กล่าวหาว่าเขาเสียสติที่ถือชิ้นส่วนศพเดินไปเดินมา แต่มาร์คตอบกลับไปว่า "มันไม่ใช่ซากศพ นี่คือลูกชายของผม ผมกำลังจูงมือมิลเลอร์ ฮันต์ และเขากำลังร้องไห้เสียใจกับคำพูดแย่ ๆ ของคุณ"
คนรอบ ๆ ตลาดเริ่มหันมาสนใจการทะเลาะของสองชายหนุ่ม ก่อนที่มาร์คจะกัดฟันเดินหนีไปโดยไม่ตอบโต้ด้วยการกระทำที่รุนแรงใด ๆ เพราะเขารู้สึกว่าการตอบโต้ด้วยกำลังหรืออารมณ์จะทำให้คนในเมืองเกลียดเขาเหมือนเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เขาเดินทางกลับโดยไม่ได้ทำการค้าขายใด ๆ เมื่อกลับถึงบ้าน เขายืนกรานกับตัวเองว่าจะไม่กลับเข้าเมืองอีก เขาจะอยู่ที่นี่ ล่าสัตว์ และใช้ชีวิตเรียบง่ายกับลูกชาย
นานวันเข้า มือของเด็กน้อยเริ่มเน่าเปื่อย มีหนอนชอนไช แม้เขาจะพยายามกำจัดหนอนออกไป แต่มันก็ไม่หมด มือของเด็กน้อยส่งกลิ่นเหม็นมากขึ้นกว่าเดิม มาร์คยังคงอดทนจับมือลูกชายไว้ไม่ปล่อย แม้มือตัวเองจะเริ่มถูกหนอนเจาะชอนไชจนติดเชื้อไปด้วย เขากลัวว่ามือของลูกที่เริ่มเน่าจะเหี่ยวย่นจนยากจะถือไว้ จึงใช้ผ้าสีขาวห่อมัดมือตัวเองกับมือลูกชายไว้ ไม่ให้โดนแสงและแมลงรบกวน
ไม่นาน มาร์คเริ่มป่วยอย่างรุนแรง ตัวเขาร้อนรุ่ม ศีรษะวิงเวียนและอาเจียนบ่อยครั้ง เขานอนไม่หลับ ภาพในอดีต วินาทีที่มือลูกชายหลุดออกจากแขนและเสียงกรีดร้องอันโหยหวนวนเวียนในความคิดเขา ในที่สุดความจริงสุดเศร้าก็กัดกินหัวใจ กระตุ้นให้เขารับรู้ว่า มิลเลอร์ ฮันต์ ไม่อยู่แล้ว ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานบีบคั้นจนเขาเชื่อว่า วิธีเดียวที่จะออกจากวังวนนี้ได้คือ "การล้างแค้น"
วันรุ่งขึ้น มาร์คตัดสินใจหยิบปืนล่าสัตว์คู่ใจพร้อมลูกกระสุนทั้งหมดที่เขามี เดินเข้าไปในป่า เพื่อตามล้างแค้นสัตว์ร้ายที่พรากลูกชายไปจากเขา เขาเดินทางอยู่สองวันสองคืนโดยไม่หยุดพัก แม้จะทรมานกับอาการป่วย แต่ความมุ่งมั่นในใจยังคงพาเขาเดินต่อไป จนในที่สุดเขาก็พบกับถ้ำที่มีซากกระดูกเกลื่อนอยู่รอบ ๆ ปากถ้ำ มาร์คใช้สายตาสอดส่องภายในถ้ำเพื่อหาสัญญาณของการเคลื่อนไหว ไม่นานเขาก็เห็นเด็กชายร่างเปลือยคนหนึ่ง เดินลากซากลูกกวางเข้าไปในถ้ำ
มาร์คประหลาดใจที่เห็นมนุษย์คนอื่นมาอาศัยอยู่ในถ้ำกลางป่าที่แสนอันตราย เขารอเวลาที่ปลอดภัย แล้วจึงค่อย ๆ ย่องตามเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง พร้อมยกปืนเตรียมต่อสู้ ทันใดนั้น เด็กชายคนนั้นก็คำรามและวิ่งเข้าใส่เขา มาร์ครีบเหนี่ยวไกปืน ยิงเข้าไปกลางหน้าอกของเด็กชายด้วยความตกใจ เด็กประหลาดกระเด็นลงไปนอนแน่นิ่ง หน้าอกของร่างเล็กเป็นรูเหวอะ เลือดไหลนองออกมาทั่วพื้นถ้ำ
เมื่อมาร์คตั้งสติได้ เขาค่อย ๆ เข้าไปเพ่งดูใบหน้าเด็กชายใกล้ ๆ และถึงกับตัวสั่น เนื่องจากใบหน้าของเด็กคนนี้เหมือนกับมิลเลอร์ ฮันต์ ไม่มีผิด และเด็กคนนี้ไม่มีมือข้างซ้าย มาร์คตระหนักได้ทันทีว่า นี่คือลูกชายของเขา
ยังไม่ทันที่มาร์คจะตั้งสติดี เขาก็ถูกไม้แหลมแทงจากด้านหลังทะลุหน้าท้อง สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าการถูกไม้แหลมแทงคือ ผู้ที่แทงนั้นคือ มิลเลอร์ ฮันต์ อีกคน
การมองเห็นของมาร์คค่อย ๆ เลือนราง ก่อนจะฟุบลงไป ภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นคือกลุ่มเด็กชายนับสิบที่ล้วนไม่มีมือซ้าย และหน้าตาเหมือนลูกชาย ทำท่าทางเหมือนสัตว์ป่า ค่อย ๆ เดินออกมาจากถ้ำ ก่อนจะวิ่งกรูเข้ามารุมทึ้งร่างของเขาจนขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หน้าท้องถูกแหวกออกเพื่อล้วงเครื่องใน ดวงตาทั้งสองข้างถูกควัก แม้แต่กะโหลกก็ถูกกะเทาะเพื่อกินก้อนสมองด้านใน ชิ้นส่วนที่ถูกแยกออกถูกรับประทานอย่างสยดสยอง หลงเหลือไว้เพียงโครงกระดูกของชายวัยกลางคน ผ้าสีขาวที่ห่อมือของมาร์ค ฮันต์ กลับเป็นเพียงส่วนเดียวที่ไม่ถูกแตะต้อง ซึ่งยังคงกำมือของมิลเลอร์ ฮันต์ ไว้แน่น
ย้อนกลับไปในช่วงฤดูหนาว ระหว่างที่สองพ่อลูกกำลังเดินทางกลับจากการสำรวจป่าตามปกติ พวกเขาพบกับลูกหมีตัวหนึ่ง ท่าทางของมันดูหวาดกลัว หนาวสั่น และดุร้าย
“พ่อครับ เราเลี้ยงมันได้ไหม มันคงพลัดหลงกับแม่ของมัน”
มิลเลอร์กล่าวด้วยสีหน้าที่แสดงความอยากโอบกอดให้ความอบอุ่นแก่เจ้าลูกหมีน้อยที่กำลังสับสน แต่มาร์คกลับรั้งแขนลูกชายไว้ และคัดค้านด้วยเหตุผลที่ว่า
“ห้ามเข้าไปใกล้มันเด็ดขาด สัตว์ป่าล้วนมีสัญชาติญาณดิบ เหตุผลที่หมีต้องอยู่กับพวกหมีเท่านั้น และพวกสุนัขต้องอยู่กับฝูงสุนัขเท่านั้น นั่นเพราะพวกมันไม่สามารถญาติดีกันได้ หมีกับสุนัขไม่สามารถญาติดีกันได้ หมีกับสุนัขไม่สามารถเข้าใจภาษาของกันและกันได้ และมนุษย์กับหมีก็ไม่สามารถเช่นเดียวกัน และพ่อจำเป็นต้องฆ่ามัน เจ้าหมีพวกนี้อยู่ใกล้บ้านเราเกินไป เพื่อควารมปลอดภัยของเราในอนาคต”
เมื่อจบคำกล่าว มาร์คก็ยกปืนขึ้นเหนี่ยวไกใส่หัวของเจ้าลูกหมีอย่างไม่ลังเล
“และลูก ในฐานะทายาทตระกูลฮันต์ จะได้รับหนังของลูกหมีตัวนี้ไว้เป็นเครื่องเตือนใจว่า เราคือนักล่า และไม่มีสัตว์ร้ายใดในป่านี้จะเป็นผู้ล่าเรา”
“พ่อครับ แล้วครอบครัวของเจ้าหมีจะเศร้าไหม”
สายตาของมิลเลอร์มองไปยังหนังของลูกหมีที่ถูกถลกออกมา ซึ่งมาร์คถือไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะถามด้วยน้ำเสียงกังวลใจระหว่างเดินทางกลับ
“เศร้าสิ แต่นั่นคือวงจรชีวิตของป่า ทั้งเราและหมีล้วนทำร้ายผู้อื่นเพื่อความปลอดภัยของตนเอง และความตายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราควรยอมรับมัน”
มาร์คพูดสอนลูกชาย
มิลเลอร์สวมเสื้อคลุมที่ทำจากหนังของลูกหมีตัวนั้นเพื่อความอบอุ่น ในใจเขาไม่ได้คิดว่าการสวมหนังสัตว์นี้ช่างน่าเกรงขาม แต่เขาสวมมันด้วยความรู้สึกขอบคุณ ขอบคุณเจ้าลูกหมีที่ให้ความอบอุ่น และขอบคุณพ่อที่คอยปกป้องเขาอยู่เสมอ เมื่อสิ้นสุดฤดูหนาว มิลเลอร์ก็ถอดเสื้อคลุมขนสัตว์นี้และเก็บมันไว้อย่างดี เพื่อจะสวมอีกครั้งเมื่อฤดูหนาวครั้งถัดไปมาเยือน
ณ อีกฟากหนึ่งในฤดูหนาว ลึกเข้าไปในป่า “ได้โปรดท่าน ช่วยลูกสาวของข้าด้วย” คำพูดดังกล่าว ไม่ได้ออกมาจากลำคอของมนุษย์ และไม่ใช่ภาษามนุษย์ แต่ออกมาจากแม่หมีตัวหนึ่งที่คาบร่างเนื้อสีแดงฉ่ำที่ตอนนี้แข็งทื่อเป็นก้อนน้ำแข็ง ซึ่งกำลังอ้อนวอนอยู่หน้าบ้านของแม่มดที่อาศัยในส่วนที่มืดมิดที่สุดของป่า แม้ข้างนอกอากาศหนาวเย็น และมีหิมะตกหนักจนขนของแม่หมีตัวใหญ่ปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะ แต่ด้วยสายใยความเป็นแม่ ก็ทำให้มันอดทนฝ่าความหนาวและเมินเฉยต่อการจำศีล
แม่มดตนนี้เป็นแม่มดที่สามารถพูดคุยและเข้าใจภาษาของเหล่าสัตว์ป่าได้ แต่ไม่มีสัตว์ป่าตัวไหนกล้าที่จะเข้าใกล้แม่มด เนื่องจากทราบดีว่าแม่มดตนนี้มักสรรค์สร้างพืชประหลาดที่ให้ผลข้างเคียงผิดธรรมชาติ จนทำให้เหล่าสัตว์ต้องคอยระแวงว่าพืชหน้าตาธรรมดาบางต้นอาจมีมนต์ของแม่มดสาปไว้ พวกมันรังเกียจและหวาดกลัวแม่มดตนนี้ ทว่าความรักของแม่หมีนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหวาดหวั่นต่ออันตรายใดๆ มันจึงกล้ามาขอความช่วยเหลือ
แม่มดเห็นถึงความกล้าหาญและความรักอันลึกซึ้งของแม่หมีที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากตน จึงตัดสินใจมอบเมล็ดพืชผลไม้วิเศษอันล้ำค่าที่มีเพียงเมล็ดเดียวให้
“เก็บร่างของลูกเจ้าเอาไว้ให้ดี ปลูกเมล็ดนี้ในฤดูหนาวที่เปรียบเหมือนความตาย และรอให้มันออกผลในฤดูใบไม้ผลิที่เสมือนการเกิดใหม่ของชีวิต เมื่อออกผล จงนำผลบดและทาฉโลมลงบนร่างของลูกเจ้า ไม่ช้าร่างกายของลูกเจ้าจะกลับมามีชีวิตดังเดิม แต่มีข้อห้ามว่า ห้ามรับประทานเป็นอันขาด เพราะจะให้เกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งกว่าการคืนชีพ และจะทำให้ทุกข์ทรมานจากการตายไม่ได้”
แม่หมีตั้งอกตั้งใจดูแลพืชต้นนี้อย่างสุดความสามารถ จนไม่ได้พักผ่อนในช่วงจำศีล ร่างกายของมันเหนื่อยล้าจากการต้องคอยเฝ้าไม่ให้สัตว์อื่นมายุ่งกับต้นพืชวิเศษ กลิ่นของพืชต้นนี้ แม้จะยังคงเป็นเมล็ดแต่ก็มีกลิ่นหอมเย้ายวนจนน่าพิศวง กลิ่นของมันโชยเรียกให้สัตว์ต่างๆ เกิดอาการอยากอาหารอย่างรุนแรง แม่หมีต้องต่อสู้กับความบ้าคลั่งของสัตว์ต่างๆ ที่พยายามเข้ามากินต้นพืชวิเศษนี้
ร่างของเจ้าหมีที่เคยแข็งแรง มั่นคง กลับค่อยๆ กลายเป็นร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลและอ่อนล้า แม่หมีต่อสู้และสังหารสัตว์ที่เข้ามาวุ่นวายไปจำนวนมาก แต่พวกสัตว์ยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะเข้ามาแย่งพืชวิเศษ แม่หมีไม่สามารถละสายตาออกจากพืชวิเศษได้เลย ต้องกินหิมะแทนน้ำและ กินซากสัตว์ที่ตายจากการเข้ามาต่อสู้ประทังชีวิต ทนนอนหนาวท่ามกลางหิมะ แม่หมีอดทนได้มากพอที่ฤดูจะเปลี่ยนผันเป็นใบไม้ผลิ และใกล้เวลาที่พืชวิเศษจะออกผล
เมื่อหิมะละลายหมดแล้ว แม่หมีเกิดความกระหายน้ำเป็นอย่างมาก จึงคิดว่าละสายตาแค่ชั่วครู่เพื่อไปดื่มน้ำที่ลำธารใกล้ๆ คงไม่เป็นไร พวกสัตว์ป่าก็เริ่มกลัวจนไม่มาเข้าใกล้ต้นพืชวิเศษแล้วด้วย แต่มันกลับคิดผิด เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง แค่ชั่วไม่กี่นาทีที่เจ้าหมีละสายตา ก็พบว่ามีมนุษย์ตัวเล็กกำลังกินผลวิเศษที่พึ่งออกผลพอดิบพอดี นั่นทำให้แม่หมีถึงกับโกรธจัด ควบคุมสติไม่อยู่ ในหัวของมันคิดถึงช่วงเวลาที่จะได้พบกับลูกน้อยอีกครั้ง
มันกระโจนพุ่งทำร้ายเด็กชายอย่างดุร้าย และคิดว่าหากรีบแหวกท้องของเด็กคนนี้ออกเพื่อนำผลที่ถูกกินเข้าไปออกมาโดยไว อาจสามารถช่วยเหลือลูกของมันได้
แต่แม่หมีถูกพ่อของเด็กชายทำร้าย ใช้กระสุนทิ่มจนตาข้างขวาบอด ซ้ำทั้งยังถูกยิง ร่างกายที่อ่อนแอ ผนวกกับอาการบาดเจ็บนั้นทำให้แม่หมีไม่สามารถวิ่งไปไกลถึงที่ซ่อนของร่างลูกหมีได้ มันฟุบตัวลงหน้าถ้ำของมัน ก่อนจะสิ้นใจลง โดยยังคงคาบร่างของเด็กน้อยไม่ปล่อย ส่วนเด็กชายก็สิ้นใจตายจากอาการบาดเจ็บที่เกินเด็กวัยเก้าขวบจะทนไหว ฤทธิ์ของผลวิเศษเริ่มซึมเข้าสู่ร่างกาย
ไม่ช้าร่างของเด็กน้อยก็เริ่มกลับมามีชีวิต นอกจากนี้ เศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งที่หลุดออกมาจากบาดแผลก็ขยายขึ้นและเติบโตกลายเป็นเด็กชายอีกคนที่ไม่มีมือซ้าย แต่ทว่าไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์และความทรงจำของมิลเลอร์ ฮันต์อีกแล้ว กลับกลายเป็นสัตว์ป่าสองตัวที่มีหน้าตาเหมือนกัน เป็นสัตว์ที่มีเพียงสัญชาตญาณนักล่า และทุกครั้งที่เกิดบาดแผลจนชิ้นเนื้อหลุด ชิ้นเนื้อเหล่านั้นก็จะงอกออกมาเป็นเด็กอีกคนเสมอ
นิทาน
เรื่องสั้น
ศิลปะ
บันทึก
2
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย