29 ก.ย. เวลา 11:47 • ประวัติศาสตร์

การสิ้นสุดยุคฟื้นฟูเมจิและการเปลี่ยนแปลงของญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมสมัยใหม่

ก่อนการฟื้นฟู ญี่ปุ่นอยู่ภายใต้การปกครองของโชกุนโทคุกาวะ (Tokugawa Shogunate) เป็นเวลากว่า 250 ปี โดยมีระบบการปกครองแบบศักดินาที่เรียกว่า "บากุฟุ" (Bakufu) ซึ่งทำให้ประเทศปิดตัวจากโลกภายนอกและมีการพัฒนาช้าลง โดยเฉพาะในช่วงที่โลกตะวันตกเริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการขยายอาณานิคม
การเปลี่ยนแปลงสำคัญเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1853 เมื่อเรือรบของสหรัฐฯ นำโดยพลเรือเอก แมทธิว เพอร์รี่ (Matthew Perry) เข้ามาเจรจาขอเปิดประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงต้องทำสัญญาไม่เป็นธรรมกับชาติตะวันตก ส่งผลให้ชนชั้นซามูไรและประชาชนไม่พอใจ การต่อต้านโชกุนจึงเริ่มขยายตัว จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1868 โชกุนโทคุกาวะต้องสละอำนาจ จักรพรรดิเมจิ (Emperor Meiji) จึงได้รับการคืนอำนาจและเริ่มการปฏิรูปเพื่อพัฒนาญี่ปุ่นเข้าสู่สมัยใหม่
การปฏิรูปที่สำคัญในยุคเมจิ ได้แก่
1. การยกเลิกระบบศักดินา: ชนชั้นซามูไรถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยการสร้างกองทัพที่เป็นมืออาชีพ
2. การพัฒนาอุตสาหกรรม: ญี่ปุ่นเริ่มเน้นการผลิตทางอุตสาหกรรม ทั้งด้านเหล็กกล้า เครื่องจักร และการสร้างทางรถไฟ
3. การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา: ญี่ปุ่นเริ่มนำระบบการศึกษาตะวันตกมาใช้ โดยเน้นการส่งนักเรียนไปศึกษาต่างประเทศ
4. การเมืองและกฎหมาย: มีการสร้างรัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี ค.ศ. 1889 ซึ่งให้อำนาจบางส่วนแก่รัฐสภาแต่ยังคงให้จักรพรรดิมีอำนาจสูงสุด
ยุคเมจิสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1912 เมื่อจักรพรรดิเมจิสิ้นพระชนม์ แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือรากฐานของญี่ปุ่นสมัยใหม่ ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนจากประเทศที่ปิดตัวและเกือบจะล้าหลัง มาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและการทหาร โดยสามารถต่อสู้ในสงครามและขยายอิทธิพลในเอเชียได้อย่างรวดเร็ว
การฟื้นฟูเมจิแสดงให้เห็นถึงความสามารถของประเทศที่สามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งในด้านการปกครอง สังคม และเศรษฐกิจ และยังเป็นการวางรากฐานที่สำคัญสำหรับญี่ปุ่นในฐานะมหาอำนาจของเอเชียในศตวรรษที่ 20
โฆษณา