1 ต.ค. เวลา 02:30 • ธุรกิจ

James Leprino รวย 75,000 ล้าน เพราะขายชีสให้ Pizza Hut และ Domino's

ใครจะไปคิดว่า จากธุรกิจเล็ก ๆ ในครอบครัว จะสามารถเติบโตจนสร้างมหาเศรษฐีหมื่นล้านได้ ภายในรุ่นเดียว
1
นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับคุณ James Leprino
ผู้ก่อตั้ง Leprino Foods Company บริษัทที่เป็นซัปพลายเออร์ส่งชีสให้กับเชนร้านพิซซาระดับโลกอย่าง Pizza Hut และ Domino's
2
ซึ่งปัจจุบัน เขากลายเป็นเจ้าของบริษัทผู้ผลิตชีสพิซซา ที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และมีทรัพย์สินรวมกว่า 75,000 ล้านบาท
1
เรื่องราวของ คุณ Leprino และ Leprino Foods Company น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
1
คุณ Leprino คือลูกชายคนเล็กในครอบครัวธรรมดา ๆ ที่อพยพมาจากประเทศอิตาลี และย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งตอนที่คุณ Leprino ยังเด็ก เขาเป็นคนที่มีบุคลิกช่างสังเกต โดยวันหนึ่งที่เขายังเรียนอยู่ เขาสังเกตเห็นว่าเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนชอบไปร้านพิซซาใกล้บ้าน และใช้เวลาอยู่ที่นั่นบ่อย ๆ
จนรู้มาว่าร้านพิซซาในฝั่งที่เขาอาศัยอยู่ สั่งซื้อชีสสำหรับทำพิซซาประมาณ 2 ตัน ต่อสัปดาห์
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขามองเห็นโอกาสทางธุรกิจ และจุดประกายให้เขาอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับ “ชีส” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
1
จนกระทั่ง 2 ปีต่อมา ธุรกิจร้านขายของชำของพ่อเขาก็ต้องปิดตัวลง เพราะการเข้ามาของเชนร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่
จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณ Leprino และพ่อของเขา หันมาเริ่มธุรกิจชีส ภายใต้บริษัท Leprino Foods ในปี 1958 ด้วยเงินเพียง 615 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 20,000 บาทในตอนนั้น ซึ่งถ้าปรับตามอัตราเงินเฟ้อ จะคิดเป็นเงินประมาณ​ 200,000 บาท ในปัจจุบัน
จะบอกว่า คุณ Leprino เปิดธุรกิจชีสได้ถูกที่ถูกเวลา ก็อาจจะไม่ผิดนัก เพราะในช่วงนั้น เป็นช่วงเวลาที่พิซซากำลังเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมาก อีกทั้งยังมีเชนร้านพิซซาเกิดขึ้นใหม่มากมาย
1
ทำให้กิจการของ Leprino Foods Company มีออร์เดอร์หลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ
1
จากที่เริ่มส่งชีสให้กับร้านพิซซาละแวกบ้าน
คุณ Leprino ก็คิดจะขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น เพื่อผลิตได้มากขึ้น และจ้างคุณ Lester Kielsmeier คนที่มีประสบการณ์ทำงานที่โรงงานผลิตชีส มาช่วยเรื่องเทคโนโลยี
1
และจุดพลิกผันของธุรกิจ Leprino Foods Company ก็เกิดขึ้นในปี 1968 ซึ่งเป็นช่วงที่ร้าน Pizza Hut กำลังเติบโต และเริ่มมองหาซัปพลายเออร์ ที่สามารถผลิตชีสให้ได้ตามมาตรฐานที่ต้องการ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต
โดยก่อนหน้านี้ ร้านพิซซาจะนำชีสก้อนใหญ่มาขูดทีละก้อน ซึ่งใช้เวลานาน และได้ปริมาณชีสที่ไม่เท่ากันในแต่ครั้ง ทำให้รสชาติของพิซซาไม่คงที่
คุณ Leprino จึงแก้โจทย์นี้ โดยการนำชีสก้อนมาแยกเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ ทำให้ร้านสามารถวางชีสบนพิซซาได้เลย โดยไม่ต้องเสียเวลาขูด อีกทั้งสามารถทำพิซซาได้เร็วขึ้น และปริมาณชีสในแต่ละถาดจะได้เท่ากัน
จากการแก้ Pain Point นี้ได้สำเร็จ ทำให้หลังจากนั้น Pizza Hut กลายมาเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Leprino Foods Company โดยคิดเป็นสัดส่วนยอดขายกว่า 90% ของบริษัท
2
นอกจากนี้ คุณ Leprino ยังให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนานวัตกรรมมากขึ้น เพื่อให้ชีสของเขามีรสชาติแปลกใหม่ เช่น รส Salted Caramel หรือรส Jalapeño และเริ่มส่งชีสให้กับเจ้าอื่น ๆ อย่าง Domino's, Papa John's และ Little Caesars
5
อย่างในช่วงที่ Domino's พยายามจะขยายตลาด และหันไปโฟกัสกับการส่งพิซซาตามบ้าน คุณ Leprino ก็ปรับปรุงสูตรชีสเพื่อให้คงความสดใหม่และอร่อยได้นานขึ้น แม้ว่าพิซซาจะถูกส่งไปไกล ๆ ก็ตาม
4
นอกจากนี้ เขายังนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจต่อ ตั้งแต่ไปตั้งโรงงานใหม่ในพื้นที่แหล่งผลิตนม เพื่อให้เกษตรกรสามารถส่งวัตถุดิบได้ไวขึ้น และทำสัญญาระยะยาวกับฟาร์มนมในแคลิฟอร์เนีย เพื่อคุมราคาให้ได้ต่ำกว่าตลาด
ทั้งคุณภาพการผลิต และนวัตกรรมที่โดดเด่น ทำให้ปัจจุบัน Leprino Foods Company กลายเป็นซัปพลายเออร์เจ้าเดียว ที่ส่งชีสให้กับเชนร้านพิซซาชื่อดังหลายร้าน
1
เรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นเหตุผลที่ทำให้ Leprino Foods Company เติบโตจนสามารถครองตลาดชีสพิซซาในสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตมอซซาเรลลาชีสรายใหญ่ที่สุดของโลกได้
แถมคุณ Leprino ก็ได้รับการขนานนามว่า “Willy Wonka of Cheese” ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความยิ่งใหญ่นี้ ปัจจุบัน Leprino Foods Company ก็ยังคงเป็นธุรกิจครอบครัว ที่คุณ Leprino ลูก ๆ และญาติ ๆ ของเขาร่วมกันถือหุ้นบริษัทอยู่
3
ปิดท้ายด้วยคำพูดของคุณ Leprino
ที่เคยให้สัมภาษณ์กับ Forbes ว่า
“ธุรกิจของเขาเหมือนกับความฝัน แต่ในโลกความจริง ไม่มีโชคอะไรจะช่วยได้มากกว่า การคิดและลงมือทำ”
1
โฆษณา