30 ก.ย. เวลา 17:21 • ไลฟ์สไตล์

เสียงโอดครวญจากฟรีแลนซ์ชายหนุ่มผู้เบื่อหน่าย

เห้ออออ ! งานฟรีแลนซ์มันไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่คิดเอาไว้เลยแฮะ !
หลังจากที่ผมเคยมาพ่นคำบ่นเอาไว้ในบทความ “ฟรีแลนซ์ซินโดรม” ถึงอาการที่ผมนั้นรู้สึกว่ากำลังป่วย จากการทำงานฟรีแลนซ์ ซึ่งเป็นอาการป่วยทางจิตใจที่ไม่สามารถปฏิเสธงานที่เข้ามาได้
หลังจากบทความนั้นผมก็ไม่ได้อัปเดตอะไรอีกเลยใน Blog แห่งนี้
หากถามว่าสาเหตุคืออะไร ? ใช่ครับผมก็กำลังอยู่ในวังวนเดิมของอาการ “ฟรีแลนซ์ซินโดรม” ที่ผมได้บัญญัติมันขึ้นมาเอง
แทนที่ผมรู้ตัวแล้วว่าตอนนี้เริ่มมีสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น ทั้งร่างกายที่ตึงเปรี๊ยะ ! ขยับก็โอย ! นั่งนานก็โอย ! น้ำหนักที่พุ่งทะยานไปในจุดที่สูงที่สุดในชีวิต ( และยังคงพยายามทำลายสถิติตนเองอยู่ร่ำไป )
แต่ที่หนักสุด ๆ เห็นทีจะเป็นภายในดวงจิตดวงใจน้อย ๆ ของผมนี่สิ . . . . .
ต้องยอมรับเลยครับ ว่าในจุดพีคของผม ผมสามารถทำงานหลาย ๆ ชิ้น ในหนึ่งวันโดยไม่ต้องพักผ่อน และค่อนข้างมั่นใจว่ามันอยู่ในคุณภาพที่น่าพึงพอใจ
ลูกค้าทุกคนต่างก็ชื่นชอบ ผมได้รับทั้งคำชม มีการแนะนำผมให้รู้จักกับเอเจนซี่มากหน้าหลายตา งานก็ไหลเข้ามาอย่างท่วมท้น พร้อมกับเงินทองที่มีใช้ไม่ขาดมือ
แต่พอเริ่มรู้สึกตัวว่า
เห้ย ! นี่ร่างกายตูเป็นอะไรเนี่ย !
ก็นั่นแหละครับ อาการออฟฟิศซินโดรมที่เกิดขึ้นกับนักเขียนฟรีแลนซ์วัยใกล้เลข 3 อย่างผม
ทว่ามันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมาก ผมยังคงทำงานที่เข้ามาเป็นระวิงได้ดีเช่นเดิม แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งปัญหาใหญ่ในชีวิตก็เกิดขึ้น . . .
อะไรวะเนี่ย ผมคิดงานไม่ออก !
คิดไม่ได้เลยแม้แต่ประโยคเดียว ผมพยายามนั่งเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำสมาธิ ลองหาอะไรอ่าน หาอะไรดู เพื่อเป็น Reference ในการผลิตงานออกมา
แต่ทุกอย่างกลับว่างเปล่า “สมอง” ที่เคยเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจนัก ภูมิใจหนา และถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่สร้างรายรับเข้าบัญชีของผม อยู่ดี ๆ เหมือนมันหายไปซะดื้อ ๆ
เหมือนว่าตอนนี้ในหัวของผม เต็มไปด้วยเรื่องราวอะไรก็ไม่รู้ แต่ไม่เกี่ยวกับงานเลยซักกะติ๊ดเดียว
เอาล่ะ ! มาเริ่มตั้งสติกันก่อน การเขียนบทความมาแล้วนับพัน นับหมื่นบทความ มันก็อาจจะเกิดอาการ “หัวตัน” กันบ้าง ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นอยู่บ่อย ๆ มันเป็นอาการที่พอเราได้แรงบันดาลใจใหม่ ๆ ก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง กลับมาหัวแล่นอย่างที่เคย
ทว่ากับครั้งนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นหน่ะสิ . .
เมื่อได้อยู่กับอาการแปลก ๆ เช่นนี้อยู่สักระยะ ผมก็ได้ข้อสรุปแล้วว่า สมองของผมมันไม่ได้คิดไม่ออก แต่
ผมไม่อยากทำงาน
ผมเบื่อหน่าย
ผมน้อยใจ
ผมเครียด
ทุกอย่างมันประเดประดังเข้ามาในสมอง จนยากที่จะโฟกัสเรื่องงานได้อย่างที่เคยเป็น
แน่นอนล่ะครับ จากนั้นงานก็เริ่มมีปัญหา ผมยังคงพยายามควบคุมคุณภาพของงานให้เป็นเหมือนเดิม
แต่จากเดิมที่เคยทำงานด้วยอัตราเร่งเปรียบดั่งเสือชีต้าร์ที่หิวกระหาย ตอนนี้ผมเหมือนกับตัวสล็อตที่ขาใส่เฝือก
พร้อมด้วยอาการของ “ฟรีแลนซ์ซินโดรม” ที่ภายในหัวสมองของผมไม่มีคำว่า
งานนี้ผมรับไม่ได้จริง ๆ ขอโทษด้วยนะครับ
ทำให้ผมยังคงรับงานในปริมาณเดิม ๆ เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
สุดท้ายปัญหาก็เรื้อรัง งานที่ผมเคยทำได้ตรงต่อเวลา กลายเป็นงานที่เลทเป็นส่วนใหญ่ บางงานคือช้าจนน่าเกลียด พร้อมด้วยปัญหาด้านอื่น ๆ ที่ถล่มผมจนยับแทบจมดิน
แต่ผมไม่เคยรู้สึกแย่ ๆ อย่างที่หลาย ๆ คนกำลังคิดนะครับ ผมรู้สึกว่ายังอยากทำงาน ยังอยากมีพรุ่งนี้ ยังเต็มไปด้วยความละโมบ อยากได้ อยากมี อยากทำอะไรอีกมากมาย
ถึงตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกได้แล้วว่า ชีวิตที่หมกมุ่นอยู่กับงาน มันไปไม่รอดจริง ๆ ครับ
ไม่มีใครทำงานจนตาย
คำนี้ผมขออนุญาตชูนิ้วกลางให้คนที่คิด และโยนมันทิ้งออกไปจากหัวสมอง
ในตอนนี้ผมยังคงกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ แต่ผมได้พยายามลดปริมาณงานให้ลดน้อยลง พักผ่อนให้มากขึ้น ทำตัวเองให้ผ่อนคลายที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อที่จะกลับมาโฟกัสกับงานตัวเองได้เหมือนอย่างแต่ก่อน และหวังว่าผมจะสามารถกลับไปอยู่ในจุดนั้นได้อีกครั้ง
ได้อยู่ในจุดที่สนุกกับการทำงานที่รัก สนุกที่จะได้รับคำชมจากลูกค้า และ สามารถสร้างรายได้จากสิ่งที่หลงใหลมาตั้งแต่เด็ก
ท้ายที่สุด ผมคงต้องพยายามตามหาชีวิตแบบ Work Life Balance มากกว่าชีวิตแบบ Work ไร้ Balance อย่างที่ผมเป็นอยู่
หวังว่าปัญหาชีวิตที่ผมกำลังเจอ จะช่วยเป็นบทเรียนให้กับเพื่อน ๆ ทุกคนนะครับ ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ดี และจะยังคงเป็นวันที่ดีอยู่เช่นเดิมในวันถัด ๆ ไป
ด้วยความเคารพรัก
นักเขียนหัวยุ่ง
1 ต.ค. 67
โฆษณา